บมจ.นอร์ทอีสรับเบอร์หรือ NER เผยยาง EUDR ตอบรับดีเตรียมส่งออเดอร์ยางล๊อตแรก 2,000-3,000 ตันต่อเดือนให้ลูกค้าจีนภายในเดือนก.ย.นี้พร้อมตั้งเป้าส่งออกปีนี้ 45,000 ตันและจะเติบโตมากขึ้นในปี 2568 ขณะที่มั่นใจครึ่งปีหลังผลงานดีลุ้นรายได้ปีนี้โตเกินเป้าสูงกว่าปีก่อน
นายชูวิทย์ จึงธนสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NER ผู้ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายยางแผ่นรมควัน ยางแท่ง และยางผสม เพื่อจำหน่ายไปยังผู้ผลิตในอุตสาหกรรมยานยนต์ และกลุ่มผู้ค้าคนกลาง ทั้งในและต่างประเทศ เปิดเผยถึงมาตรฐานสหภาพยุโรป (อียู) ที่เริ่มบังคับใช้กฎหมายว่าด้วยสินค้าปลอดการตัดไม้ทำลายป่า หรือ EU Deforestation Regulation (EUDR) ว่าในช่วงไตรมาส 3/2567 บริษัทจะมีการส่งออกยาง EUDR ล็อตแรกให้บริษัทยางสัญชาติจีน ประมาณ 3,000 ตัน และส่งออกมากขึ้นในไตรมาส 4/2567
โดยปัจจุบันบริษัทมุ่งหน้าขยายฐานลูกค้าเพิ่มเติม ซึ่งส่วนใหญ่ยังเป็นลูกค้าสัญชาติจีน บวกกับก่อนหน้านี้ได้มีการเจรจากับลูกค้าสัญชาติจีนไปแล้ว ซึ่งในช่วงที่เหลือของปีนี้ส่วนใหญ่การส่งมอบจะเป็นล็อตเล็กประมาณ 2,000-3,000 ตันต่อเดือน คาดว่าระยะเริ่มแรกภายในปี 2567 น่าจะส่งออกยาง EUDR ได้ใกล้เคียงประมาณ 45,000 ตัน และจะเติบโตมากขึ้นในปี 2568 ทั้งนี้ราคาขายยางมาตรฐาน EUDR ที่ดี และจะมีความสามารถในการทำกำไรที่สูง น่าจะเข้ามาช่วยเสริมนอกเหนือจากการขายยางพาราปกติได้พอควรในช่วงที่เหลือของปี 2567 และปี 2568 อีกด้วย
สำหรับทิศทางผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2567 มั่นใจว่ามีรายได้ทั้งปีจะเติบโตอยู่ที่ 28,500 ล้านบาท จากมีปริมาณขาย 440,000 ตัน โดยมีแนวโน้มคำสั่งซื้อที่ดีขึ้น ได้ปัจจัยบวกจากราคายางพาราที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ในระดับสูง ซึ่งปัจจุบันมีคำสั่งซื้อ (Order) ล่วงหน้าครอบคลุมถึงไตรมาส 1/2568
ขณะที่แนวโน้มการส่งออกยางพารายังดีต่อเนื่อง โดยจากรายงานของกระทรวงพาณิชย์พบว่า การส่งออกยางพาราขยายตัวต่อเนื่อง 8 เดือนติดต่อกัน โดย 6 เดือนแรกของปี ตั้งแต่เดือนมกราคมถึงเดือนมิถุนายน ขยายตัว 30.6% โดยการเติบโตจะมาจากตลาดจีนที่มีความต้องการยางพาราที่มากขึ้นอย่างที่ได้กล่าวไป โดยเฉพาะการซื้อยางพาราเพิ่มขึ้นเพื่อรักษาระดับสต๊อก ส่วนปัจจุบันซัพพลายยางก็มีแนวโน้มที่ดีขึ้น
นายชูวิทย์กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทให้ความสำคัญกับตลาดอินเดีย และจีน ที่เศรษฐกิจมีแนวโน้มในการเติบโตต่อ และล่าสุดมีการการจัดตั้งบริษัทย่อยแห่งใหม่ ในประเทศโกตดิวัวร์ (Cote d’Ivoire) เพื่อสร้างโอกาสในประเทศเกิดใหม่ เพราะเป็นประเทศที่มีโอกาสเติบโตในเรื่องของยางพาราเยอะ และการแข่งขันยังไม่สูงมากนัก