SCB CIO เปิดกลยุทธ์ไตรมาส 3 แนะทยอยสับเปลี่ยนเข้าลงทุนหุ้น Defensive สหรัฐฯ หลังกลุ่ม Growth ราคาสูงพร้อมตั้งรับเศรษฐกิจถดถอยด้วยพันธบัตรรัฐบาล

SCB CIO มองแนวโน้มดอกเบี้ยธนาคารกลางหลักใกล้หยุดขึ้นแล้วแต่ยังไม่ปรับลงและคงอยู่ในระดับสูงขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ และยุโรปคาดว่าจะถดถอยแบบไม่รุนแรง ส่วนกลุ่มตลาดเกิดใหม่เอเชียเศรษฐกิจฟื้นตัวต่ำกว่าคาดแต่ยังฟื้นตัวต่อเนื่องแนะนำตั้งรับเศรษฐกิจถดถอยด้วยพันธบัตรรัฐบาลประเทศพัฒนาแล้วลดสัดส่วนหุ้นกลุ่ม Growth ของสหรัฐฯที่มูลค่าเริ่มตึงตัวและหุ้นยุโรปที่กำไรจะถูกกระทบจากเงินเฟ้อสูงยืดเยื้อทยอยสับเปลี่ยนเข้าหุ้นกลุ่ม Defensive สหรัฐฯรวมถึงหุ้นจีน A-Share และหุ้นไทยที่มูลค่ายังน่าสนใจ 

ดร.กำพล อดิเรกสมบัติ ผู้อำนวยการอาวุโสและหัวหน้าทีม SCB Chief Investment Office (SCB CIO) ธนาคารไทยพาณิชย์  เปิดเผยว่า ธนาคารกลางหลักส่งสัญญาณใกล้จบรอบการขึ้นดอกเบี้ยแล้ว ส่วนการลดดอกเบี้ยเป็นเรื่องของปีหน้า โดยเศรษฐกิจสหรัฐฯ ส่งสัญญานชะลอตัว แต่เงินเฟ้อที่ยังอยู่ในระดับสูงกว่าเป้าหมาย ทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ยังต้องคงดอกเบี้ยนโยบายไว้ในระดับสูง (5.5%) ในปี 2566 ขณะที่ ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ต้องขึ้นดอกเบี้ยต่อ ส่วนธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ต้องเริ่มส่งสัญญาณปรับนโยบายการควบคุมเส้นอัตราผลตอบแทน (Yield Curve Control) หลังเงินเฟ้อยังสูงขึ้น ด้าน ธนาคารกลางจีน (PBOC) และธนาคารกลางเวียดนาม (SBV) เริ่มผ่อนคลายนโยบายการเงินและการคลัง หลังเศรษฐกิจฟื้นแต่ช้ากว่าคาด

ทั้งนี้  SCB CIO มองว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ และยุโรป ชะลอตัวและอาจเข้าสู่ภาวะถดถอยแต่จะไม่รุนแรง โดยในส่วนของ เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มชะลอลงชัดเจน แต่ตลาดแรงงานเป็นเครื่องจักรหลักที่ทำให้เศรษฐกิจอาจถดถอยแต่ไม่รุนแรง  โดยล่าสุด Fed ปรับลดคาดการณ์อัตราการว่างงานปี 2566 ลงจาก 4.5% เป็น 4.1% ขณะที่ เศรษฐกิจยุโรปเริ่มมีสัญญาณแผ่วลง หลังเศรษฐกิจเยอรมันเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยทางเทคนิคในช่วงไตรมาส 1/2566 จากอัตราเงินเฟ้อและดอกเบี้ยที่สูงต่อเนื่อง

ขณะที่ เศรษฐกิจตลาดเกิดใหม่ในเอเชีย (EM Asia) แม้การฟื้นตัวช้ากว่าคาดในช่วงครึ่งแรก แต่มีแนวโน้มฟื้นตัวได้ต่อเนื่อง โดยเศรษฐกิจจีนช่วงที่ผ่านมาฟื้นตัวแบบไม่ทั่วถึงและช้ากว่าคาด แต่ล่าสุดภาครัฐเริ่มส่งสัญญาณผ่อนคลายนโยบายการเงินด้วยการลดดอกเบี้ย และมีแนวโน้มผ่อนคลายมาตรการการคลังเพิ่มเติมอีก ส่วนเศรษฐกิจไทยยังคงฟื้นตัวต่อเนื่องจากการบริโภคและภาคบริการ แม้ความไม่แน่นอนทางการเมืองยังกดดันการลงทุน   ด้านเศรษฐกิจเวียดนามยังมีแนวโน้มฟื้นตัวช้าจากการหดตัวของภาคการส่งออก และการฟื้นตัวช้าของภาคอสังหาริมทรัพย์  

สำหรับปัจจัยความเสี่ยงที่ต้องระวัง คือ ในกรณีเลวร้าย (worse case scenario) เราเชื่อว่าปัจจัยสำคัญที่จะทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ถดถอยรุนแรงกว่าที่คาด คือ เงินเฟ้อมีแนวโน้มยืดเยื้อ จนทำให้ Fed ต้องขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่อง ช่วงครึ่งหลังของปี 2566 และอาจลุกลามส่งผลต่อเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะ EM Asia ที่พึ่งพาการส่งออกค่อนข้างมาก ซึ่งในกรณีนี้ SCB CIO คาดว่า จะทำให้ธนาคารกลางส่วนใหญ่ที่มีการกำหนดขีดความสามารถในการดำเนินนโยบายการเงิน (policy space) ไว้อยู่แล้ว จะสามารถลดดอกเบี้ยได้ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2567 เพื่อประคับประคองเศรษฐกิจ จากเดิมที่ขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องช่วงที่ผ่านมา 

ดร.กำพล กล่าวว่า ในไตรมาส 3/2566 นี้ SCB CIO แนะนำวางกลยุทธ์ลงทุนตั้งรับเศรษฐกิจถดถอยด้วยพันธบัตรรัฐบาล พร้อมลดสัดส่วนการลงทุนในหุ้นกลุ่มเติบโต(Growth) ของสหรัฐฯ และหุ้นยุโรป หลังมูลค่าเริ่มตึงตัวแล้ว โดยแนะนำให้สับเปลี่ยนเงินลงทุนเข้าไปยังหุ้นกลุ่มเชิงรับ (Defensive) ในสหรัฐฯ รวมถึงเพิ่มสัดส่วนหุ้น EM Asia โดยเน้นหุ้น จีน A-share และหุ้นไทย ที่มูลค่ายังน่าสนใจ

เรามองการตั้งรับเศรษฐกิจชะลอตัวด้วยการทยอยสะสมพันธบัตรรัฐบาล โดยยังคงมุมมองว่า อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ มีแนวโน้มลดลงในช่วง 6-12 เดือนข้างหน้าจากเงินเฟ้อที่ชะลอ การหยุดขึ้นดอกเบี้ยในช่วงครึ่งหลังปี 2566 และมีแนวโน้มลดดอกเบี้ยในช่วงครึ่งแรกปี 2567 แต่เราปรับมุมมองในหุ้นกู้คุณภาพสูง (IG) ลงเป็น Neutral จากความเสี่ยงด้านส่วนต่างของผลตอบแทน (spread) ของหุ้นกู้กลุ่มที่อยู่ในระดับลงทุนได้ (Investment Grade) ระดับกลาง หรือ medium grade (A+ ถึง BBB-) ที่จะถูกกระทบจากความเสี่ยงเศรษฐกิจถดถอย 

ส่วนหุ้นสหรัฐฯ และยุโรป เราแนะนำให้ปรับลดสัดส่วน เนื่องจากมูลค่าเริ่มตึงตัวแล้ว โดยถึงแม้แม้ดอกเบี้ยยังอยู่ในระดับสูง รวมถึงเศรษฐกิจมีแนวโน้มชะลอลง แต่หุ้นสหรัฐฯ โดยเฉพาะหุ้นเติบโตในกลุ่มเทคโนโลยี มีการปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงที่ผ่านมาจนมูลค่า S&P500 (fwd P/E 19.1x; +0.1 sd) ปรับเพิ่มขึ้นมาก และ Nasdaq100  (fwd P/E 26.5x; +1.0 sd) เริ่มตึงตัว รวมถึงหุ้นยุโรป (fwd P/E 12.5x; -1 sd) ที่ในระยะข้างหน้าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและผลกำไรมีโอกาสได้รับผลกระทบจากเงินเฟ้อและดอกเบี้ยสูงที่ยืดเยื้อ จึงแนะนำสับเปลี่ยนเข้าลงทุนหุ้นกลุ่ม Defensive ในสหรัฐฯ ที่มีผลกำไรแข็งแกร่ง แม้ในช่วงเศรษฐกิจถดถอย รวมถึงมูลค่ายังน่าสนใจ เช่น กลุ่มโครงสร้างพื้นฐาน หรือ Utilities (fwd P/E 17x; -1.1 sd) และกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต หรือ Consumer staples (fwd P/E 19.7x; ค่าเฉลี่ย 5 ปี)

นอกจากนี้ ยังแนะนำให้เพิ่มหุ้น EM Asia เน้น จีน A-share (มุมมอง Positive) และหุ้นไทย (มุมมอง Slightly Positive) ที่มูลค่ายังน่าสนใจ โดยในส่วนของหุ้นจีน A-Share นอกจากการฟื้นตัวของผลประกอบการ ยังมีทิศทางการผ่อนคลายนโยบายการเงินเป็นอีกปัจจัยสนับสนุนตลาดหุ้นจีนที่มีมูลค่าค่อนข้างถูกเมื่อเทียบกับในอดีต (fwd P/E 11.3x; -0.5 sd) และเมื่อเทียบกับ MSCI world (fwd P/E เปรียบเทียบกันหุ้นจีน discount -1 sd) สำหรับหุ้นไทย แม้จะยังได้รับแรงกดดันจากความไม่แน่นอนทางการเมือง แต่จากแนวโน้มเศรษฐกิจและผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนที่ได้แรงหนุนจากการฟื้นตัวต่อเนื่องของการท่องเที่ยว ภาคบริการและการจ้างงาน เรายังคงแนะนำทยอยสะสมหุ้นไทย  (fwd P/E 15.3x;    -0.5 sd) ที่ยังมีมูลค่าถูกกว่าตลาดหุ้นอื่นในอาเซียน 

ขณะเดียวกัน ควรกระจายเงินลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ เป็นอีกหนึ่งทางเลือกเพื่อป้องกันความเสี่ยง (Hedge) จากเงินเฟ้อที่อาจยืดเยื้อ และความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitical risks) โดยจากการวิเคราะห์ของเรา พบว่า การมีสินค้าโภคภัณฑ์เป็นส่วนหนึ่งในพอร์ตลงทุน จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการลงทุนได้ ซึ่งสัดส่วนที่เหมาะสมอยู่ระหว่าง 5%-10% ตามความเสี่ยงที่รับได้ นอกจากนี้ ในช่วงที่เงินเฟ้อสูงมากกว่าตลาดคาด หุ้นและพันธบัตรมักจะมีการเคลื่อนไหวแปรผันตามกัน (correlation เป็นบวก) ขณะที่สินค้าโภคภัณฑ์จะเคลื่อนไหวไม่สัมพันธ์กับ หุ้น รวมถึงพันธบัตร (correlation เป็นลบ) ดังนั้น จึงทำหน้าที่กระจายความเสี่ยงได้ดี 

LATEST NEWS

“Smarthome” สมาร์ทโฮมยืนหนึ่งเครื่องใช้ไฟฟ้าสำหรับทุกครอบครัว

เมื่อพูดถึงแแบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน เชื่อว่าใครหลายๆ คน คงจะนึกถึงแบรนด์ “Smarthome” เป็น 1 ในคำตอบในใจอย่างแน่นอน ด้วยจุดเด่นของสินค้าที่แข็งแรง ทนทาน ดีไซน์ทันสมัยและราคาที่สามารถเข้าถึงได้ วันนี้เราจะมาทำความรู้จักกับแบรนด์ “Smarthome” กันให้มากยิ่งขึ้น

บิ๊กดีลสะเทือนวงการ! กรุงศรีฟินโนเวตจับมืออีฟราสตรัคเจอร์ เปิดฉากลงทุนมหาศาลปั้นกองทุนใหม่หนุนสตาร์ทอัพรายเล็กก้าวกระโดด พร้อมเปิด Accelerator ติดอาวุธเร่งสปีดสร้างการเติบโต

กรุงศรี ฟินโนเวต ร่วมกับ อีฟราสตรัคเจอร์ (Efra Structure) ของ ป้อม ภาวุธ ผู้บุกเบิกและคร่ำหวอดในวงการอีคอมเมิร์ซไทย เตรียมปั้นกองทุนยักษ์ “ฟินโน อีฟรา ไพรเวท อิควิตตี้ ทรัสต์” (Finno Efra Private Equity Trust) มุ่งลงทุนในสตาร์ทอัพไทยและอาเซียน งบประมาณมหาศาลกว่า 1,300 ล้านบาท (หรือกว่า 35 ล้านเหรียญสหรัฐ) ภายในระยะเวลา 4 ปี เผยเริ่มพูดคุยกับสตาร์ทอัพที่น่าสนใจแล้วราว 5-6 บริษัท พ่วงด้วยการเปิด Accelerator Program อย่างเป็นทางการ เพื่อปั้นสตาร์ทอัพระดับ Seed ถึง Pre-series A ให้เติบโตสู่ระดับ Series A ได้อย่างแข็งแกร่ง

SCB CIO มองตลาดหุ้นทั่วโลกผันผวน เมื่อเข้าสู่โค้งสุดท้ายเลือกตั้งสหรัฐฯ พอร์ตหลักแนะหุ้นกลุ่มเทคฯ-สุขภาพ- สาธารณูปโภค-ทองคำ ส่วนพอร์ตเสริมสะสมเวียดนาม

SCB CIO มองตลาดหุ้นโลกจะมีความผันผวนเพิ่มขึ้นเมื่อเข้าสู่โค้งสุดท้ายของการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ จากสถิติชี้ว่า ดัชนี VIX  จะเร่งตัวขึ้นเมื่อเข้าสู่ช่วง 4 เดือนสุดท้ายก่อนการเลือกตั้ง ขณะที่สถิติในอดีตบ่งชี้ดัชนี S&P500 มีแนวโน้มชะลอตัวในช่วงเดือนส.ค.- ก.ย. แนะกลยุทธ์ลงทุนในตลาดหุ้นเลือกหุ้นคุณภาพดีเติบโตสูงงบแข็งแกร่งยอดขายกำไรเติบโตยั่งยืนเช่นกลุ่มเทคโนโลยีพร้อมผสมผสานกับหุ้นกลุ่มที่มีความทนทานต่อภาวะตลาดผันผวนเช่นกลุ่มสาธารณูปโภค  สุขภาพและสินค้าจำเป็น พร้อมระวังลงทุนในหุ้นกลุ่มขนาดเล็กจากกำไรของกิจการของหุ้นขนาดเล็กค่อนข้างผันผวนและอิงกับเศรษฐกิจสหรัฐฯเป็นหลักซึ่งอาจได้รับผลกระทบจากการที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังเข้าสู่ช่วงของการชะลอตัวลง สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ปานกลาง-สูง แนะลงทุนหุ้นเวียดนามจากดัชนีฯที่ได้แรงหนุนจากเศรษฐกิจที่เติบโตต่อเนื่อง

RELATED