SCB CIO มองเงินเฟ้อทั่วโลกเริ่มชะลอ คาดเฟดคงดอกเบี้ย 5.50% แนะจับจังหวะลงทุนหุ้น และหุ้นไทยยังถูก

SCB CIO ชี้เงินเฟ้อทั่วโลกเริ่มชะลอตัวลง เฟดส่งสัญญาณชัดขึ้นมีโอกาสหยุดขึ้นดอกเบี้ย หลังเศรษฐกิจสหรัฐฯเริ่มชะลอลง คาดเฟดคงดอกเบี้ยไว้ที่ 5.50% ในช่วงที่เหลือของปี ส่วนธนาคารกลางยุโรปและอังกฤษ จะปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก 2 ครั้ง สู่ระดับ 4% และ 6% ด้านเศรษฐกิจจีนฟื้นช้ากว่าคาด มีโอกาสออกมาตรการกระตุ้นในครึ่งปีหลัง แนะถือหุ้นสหรัฐแต่ทยอยขายหุ้นกลุ่ม Tech สับเปลี่ยนเข้าหุ้น Defensive และทยอยขายหุ้นยุโรปหลังอัตราเงินเฟ้อยืดเยื้อ และดอกเบี้ยยังขึ้นต่อ ส่วนหุ้นที่มี Valuation ถูกได้แก่หุ้นจีน A-share และหุ้นไทย

ดร.กำพล อดิเรกสมบัติ ผู้อำนวยการอาวุโส และหัวหน้าทีม SCB Chief Investment Office (SCB CIO) ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า ปรากฎการณ์อัตราเงินเฟ้อชะลอตัว (disinflation) เริ่มปรากฎในหลายประเทศ โดยเงินเฟ้อในกลุ่ม Developed markets ชะลอลงช้ากว่ากลุ่ม Emerging markets เนื่องจากยังมีเงินเฟ้อจากภาคบริการที่อยู่ในระดับสูง ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในหลายประเทศทั่วโลกชะลอตัวลงอย่างมีนัยยะในไตรมาสที่ 2 โดยในเดือน ก.ค. ของสหรัฐฯ อยู่ที่ 3% จากระดับสูงสุด 9.1% และไทยอยู่ที่ 0.2% จากระดับสูงสุด 7.9% อย่างไรก็ตาม อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานโดยเฉพาะในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว ยังชะลอลงช้าและอยู่ในระดับสูง เนื่องจากเงินเฟ้อในภาคบริการยังอยู่ในระดับสูงตามความแข็งแกร่งในการฟื้นตัวของภาคธุรกิจนี้ โดยเงินเฟ้อพื้นฐานเดือน ก.ค. ของสหรัฐฯ อยู่ที่ 4.8% จากระดับสูงสุด 6.6% และไทยอยู่ที่ 1.3% จากระดับสูงสุด 3.2 %

ทั้งนี้ คาดว่าธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)จบรอบการขึ้นดอกเบี้ย แต่จะคงดอกเบี้ยไว้ระดับสูงในช่วงที่เหลือของปีนี้ เศรษฐกิจสหรัฐฯชะลอ แต่มีโอกาสหลีกเลี่ยงเศรษฐกิจถดถอยได้สูงขึ้น อัตราเงินเฟ้อชะลอลงมาแต่ในระยะข้างหน้ายังมีแนวโน้มอยู่ในระดับสูงกว่าเป้าที่ 2% ในช่วงปี 2023-24 เศรษฐกิจสหรัฐฯ ชะลอตัวลงอย่างมีนัยยะแต่ด้วยตลาดแรงงานและกำลังซื้อที่แข็งแกร่งทำให้โอกาสที่จะหลีกเลี่ยงภาวะเศรษฐกิจถดถอยได้มีค่อนข้างสูง จากแนวโน้มเงินเฟ้อและเศรษฐกิจดังกล่าวทำให้เฟดจะคงดอกเบี้ยในระดับ 5.5% ในช่วงที่เหลือของปี และมีโอกาสน้อยมากที่จะลดดอกเบี้ยในปี 2023 และจากแนวโน้มเงินเฟ้อและดอกเบี้ยดังกล่าวน่าจะทำให้ธนาคารกลางในประเทศต่างๆ เริ่มหยุดขึ้นดอกเบี้ยตามเฟด เช่นกัน ยกเว้น ธนาคารกลางยุโรปและอังกฤษที่จะมีการขึ้นดอกเบี้ยต่อสู่ระดับ 4% และ 5.75% ตามลำดับ

จากการวิเคราะห์ข้อมูลของ SCB CIO ในช่วงที่เฟดมีการหยุดขึ้นดอกเบี้ยในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยและอัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับสูง 3 ครั้งล่าสุด ในปี 1995, 2000-01, และ 2006-07 ซึ่งแต่ละครั้งใช้เวลา 5, 8, และ 15 เดือนตามลำดับ พบข้อสังเกตสำคัญดังนี้ 1) ในช่วง 6 เดือนหลังจากเริ่มหยุดขึ้นดอกเบี้ย อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ 10 ปีปรับลดลงอย่างมีนัยยะ (49-119 bsp.) 2) US dollar index ปรับตัวลดลง ส่งผลให้ค่าเงินบาท/ดอลลาร์สหรัฐฯแข็งค่าขึ้น (ยกเว้น 2001 ที่เกิด dot com crisis และ 3) ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ใน 6 เดือนหลังหยุดขึ้นดอกเบี้ย ยกเว้นช่วงปี 2001 ที่เกิด dot com crisis

อย่างไรก็ตาม การเร่งตัวของ Bond yield ในช่วงที่ผ่านมาเป็นปัจจัยชั่วคราว คาดจะเริ่มลดลงหลังเงินเฟ้อมีแนวโน้มชะลอตัวต่อเนื่อง และสัญญาณที่ชัดของการหยุดขึ้นดอกเบี้ยจากเฟด เรามองว่ายังคงเป็นโอกาสดีที่จะสะสมพันธบัตรเข้าพอร์ต เพื่อจัดการกับความเสี่ยงเศรษฐกิจถดถอย หรือชะลอตัว เราเชื่อว่าอัตราเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มชะลอลงบวกกับท่าทีของเฟด ในการหยุดขึ้นดอกเบี้ยจะส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะกลางถึงยาว ทยอยลดลงในช่วง 6-12 เดือนข้างหน้า แม้ความเสี่ยงเศรษฐกิจถดถอยจะลดลง แต่การชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และเศรษฐกิจโลกยังมีแนวโน้มดำเนินต่อไป

ทางด้านเศรษฐกิจจีนฟื้นตัวช้ากว่าคาดในไตรมาสที่ 2/2023 ทำให้มีโอกาสมากขึ้นที่ภาครัฐจะออกมาตรการกระตุ้นแบบเฉพาะเจาะจงในช่วงครึ่งหลังของปี สะท้อนจากท่าทีล่าสุดของการประชุม Politburo ปัจจัยเสี่ยงที่เริ่มสูงขึ้นคือหนี้ของรัฐบาลท้องถิ่นที่ครบกำหนดชำระค่อนข้างมากในช่วง ส.ค.-ก.ย. แม้มีปัจจัยฐานต่ำ แต่เศรษฐกิจจีนไตรมาส 2/2023 เติบโตได้เพียง 6.3%YOY จากภาคบริการด้านภัตรคารและโรงแรม และภาคอสังหาริมทรัพย์ ในครึ่งปีแรกเศรษฐกิจจีนขยายตัวเพียง 5.4% การฟื้นตัวช้ากว่าคาด ทำให้มีแรงกดดันต่อภาครัฐมากขึ้นในการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านทั้งนโยบายการเงินและการคลังแบบเฉพาะเจาะจง ปัจจัยความเสี่ยงในช่วงที่เหลือของปี นอกจากการฟื้นตัวช้าของเศรษฐกิจแล้วยังมีประเด็นหนี้รัฐบาลทั้งถิ่นที่จะครบกำหนดในเดือน ส.ค.-ก.ย. ที่มียอดรวมกว่า 24% ของยอดทั้งหมดของปี 2023 ที่มีแนวโน้มทำให้ภาครัฐน่าจะขอความช่วยเหลือจากธนาคารพาณิชย์และธนาคารของรัฐให้เข้ามาช่วยซื้อพันธบัตรเหล่านี้

สำหรับ Valuation ของตลาดหุ้น Developed Markets ส่วนใหญ่ปรับตัวขึ้นมาอย่างรวดเร็วตั้งแต่ต้นปี และส่วนใหญ่เป็นผลมาจาก P/E rerating ยกเว้นตลาดหุ้นยุโรป (SXXP) ที่ยังถูกกดดันจากปัจจัยเงินเฟ้อและการขึ้นดอกเบี้ยที่มีโอกาสยืดเยื้อมากกว่ากลุ่มประเทศอื่น SCB CIO ยังคงคำแนะนำ Neutral หุ้นสหรัฐฯ (ทยอยขายหุ้นกลุ่ม Tech สับเปลี่ยนเข้าหุ้น defensive) และ Slightly Negative หุ้นยุโรปจากผลของเงินเฟ้อยืดเยื้อและอัตราดอกเบี้ยที่ยังขึ้นต่อ สำหรับตลาดหุ้นที่ Valuation ยังถูกมักมีปัจจัยความเสี่ยงกดดัน เช่น ตลาดหุ้นจีน ไทย และเวียดนาม อย่างไรก็ตาม เรายังคงแนะนำทยอยสะสมหุ้นจีน A-share จากแนวโน้มมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจแบบเฉพาะเจาะจงในช่วงครึ่งหลังของปี และหุ้นไทย ความไม่แน่นอนทางการเมืองและนโยบายเริ่มลดลง สำหรับหุ้นจีน H-share เราได้มีการปรับมุมมองเป็น Neutral จากความกังวลประเด็นหุ้นกลุ่มธนาคาร (18% ของมูลค่าตลาดทั้งหมด) ที่ผลประกอบการอาจถูกกระทบจากการลดอัตราดอกเบี้ยและการเข้าช่วยซื้อพันธบัตรรัฐบาลท้องถิ่น รวมถึงหุ้นกลุ่ม Tech (37% ของมูลค่าตลาดทั้งหมด) จากความเสี่ยงด้าน Tech war ที่ยังคงมีอยู่ค่อนข้างสูง

LATEST NEWS

“Smarthome” สมาร์ทโฮมยืนหนึ่งเครื่องใช้ไฟฟ้าสำหรับทุกครอบครัว

เมื่อพูดถึงแแบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน เชื่อว่าใครหลายๆ คน คงจะนึกถึงแบรนด์ “Smarthome” เป็น 1 ในคำตอบในใจอย่างแน่นอน ด้วยจุดเด่นของสินค้าที่แข็งแรง ทนทาน ดีไซน์ทันสมัยและราคาที่สามารถเข้าถึงได้ วันนี้เราจะมาทำความรู้จักกับแบรนด์ “Smarthome” กันให้มากยิ่งขึ้น

บิ๊กดีลสะเทือนวงการ! กรุงศรีฟินโนเวตจับมืออีฟราสตรัคเจอร์ เปิดฉากลงทุนมหาศาลปั้นกองทุนใหม่หนุนสตาร์ทอัพรายเล็กก้าวกระโดด พร้อมเปิด Accelerator ติดอาวุธเร่งสปีดสร้างการเติบโต

กรุงศรี ฟินโนเวต ร่วมกับ อีฟราสตรัคเจอร์ (Efra Structure) ของ ป้อม ภาวุธ ผู้บุกเบิกและคร่ำหวอดในวงการอีคอมเมิร์ซไทย เตรียมปั้นกองทุนยักษ์ “ฟินโน อีฟรา ไพรเวท อิควิตตี้ ทรัสต์” (Finno Efra Private Equity Trust) มุ่งลงทุนในสตาร์ทอัพไทยและอาเซียน งบประมาณมหาศาลกว่า 1,300 ล้านบาท (หรือกว่า 35 ล้านเหรียญสหรัฐ) ภายในระยะเวลา 4 ปี เผยเริ่มพูดคุยกับสตาร์ทอัพที่น่าสนใจแล้วราว 5-6 บริษัท พ่วงด้วยการเปิด Accelerator Program อย่างเป็นทางการ เพื่อปั้นสตาร์ทอัพระดับ Seed ถึง Pre-series A ให้เติบโตสู่ระดับ Series A ได้อย่างแข็งแกร่ง

SCB CIO มองตลาดหุ้นทั่วโลกผันผวน เมื่อเข้าสู่โค้งสุดท้ายเลือกตั้งสหรัฐฯ พอร์ตหลักแนะหุ้นกลุ่มเทคฯ-สุขภาพ- สาธารณูปโภค-ทองคำ ส่วนพอร์ตเสริมสะสมเวียดนาม

SCB CIO มองตลาดหุ้นโลกจะมีความผันผวนเพิ่มขึ้นเมื่อเข้าสู่โค้งสุดท้ายของการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ จากสถิติชี้ว่า ดัชนี VIX  จะเร่งตัวขึ้นเมื่อเข้าสู่ช่วง 4 เดือนสุดท้ายก่อนการเลือกตั้ง ขณะที่สถิติในอดีตบ่งชี้ดัชนี S&P500 มีแนวโน้มชะลอตัวในช่วงเดือนส.ค.- ก.ย. แนะกลยุทธ์ลงทุนในตลาดหุ้นเลือกหุ้นคุณภาพดีเติบโตสูงงบแข็งแกร่งยอดขายกำไรเติบโตยั่งยืนเช่นกลุ่มเทคโนโลยีพร้อมผสมผสานกับหุ้นกลุ่มที่มีความทนทานต่อภาวะตลาดผันผวนเช่นกลุ่มสาธารณูปโภค  สุขภาพและสินค้าจำเป็น พร้อมระวังลงทุนในหุ้นกลุ่มขนาดเล็กจากกำไรของกิจการของหุ้นขนาดเล็กค่อนข้างผันผวนและอิงกับเศรษฐกิจสหรัฐฯเป็นหลักซึ่งอาจได้รับผลกระทบจากการที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังเข้าสู่ช่วงของการชะลอตัวลง สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ปานกลาง-สูง แนะลงทุนหุ้นเวียดนามจากดัชนีฯที่ได้แรงหนุนจากเศรษฐกิจที่เติบโตต่อเนื่อง

RELATED