Macro Investing-สไตล์ VI | ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

สมัยเริ่มเป็น VI ใหม่ ๆ คือประมาณ 30 ปีมาแล้ว ผมเชื่อในหลักการลงทุนแบบที่เรียกว่า “Bottom Up” คือการลงทุนที่เน้นที่ตัวกิจการเป็นหลัก และไม่ได้สนใจเรื่องของภาพใหญ่หรือที่เรียกว่าภาพ “Macro” ที่บอกว่าเราควรต้องเริ่มจากการวิเคราะห์ภาพของเศรษฐกิจ และอุตสาหกรรมก่อนว่าเอื้ออำนวยแค่ไหน จากนั้นจึงมาดูตัวบริษัทว่าเราควรลงทุนหรือไม่ บางคนเรียกการมองหาหุ้นแบบนี้ว่า “Top Down” โดยที่แนวความคิดแบบนี้มาจากความเชื่อที่ว่า ถ้าภาวะเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมไม่เอื้ออำนวย โอกาสที่บริษัทจะเจริญรุ่งเรืองก็จะยาก

​แนวความคิดเรื่องการลงทุนโดยไม่ต้องสนใจภาวะเศรษฐกิจเลยนั้น VI จำนวนมากรวมถึงผมด้วยในยุคบุกเบิกของการลงทุนในตลาดหุ้นไทยผมคิดว่าสิ่งสำคัญส่วนหนึ่งมาจากหนังสือการลงทุนยอดนิยมของปีเตอร์ลินช์ 2 เล่มนั่นก็คือ “One Up on Wall Street” และ “Beating the Street” ซึ่งปีเตอร์ลินช์บอกว่าการเลือกหุ้นลงทุนของเขานั้น เขาแทบไม่อ่านและไม่สนใจเรื่องของการคาดการณ์ทางเศรษฐกิจเลย เขาบอกว่ามันไม่มีประโยชน์อะไรทั้งสิ้น เราควรมองแต่เฉพาะตัวกิจการว่ามันจะเติบโตไปได้มากน้อยแค่ไหน ดูจากสินค้าและความนิยมของลูกค้าในท้องตลาด พูดง่าย ๆ ฟังจาก “ชาวบ้าน” ดีกว่าฟังนักเศรษฐศาสตร์

ถัดจากปีเตอร์ ลินช์ หนังสือที่เขียนเกี่ยวกับแนวคิดและการลงทุนของวอเร็น บัฟเฟตต์ ก็ตามมา ดูเหมือนว่าบัฟเฟตต์เองนั้น ก็แทบไม่ได้ใส่ใจกับภาวะเศรษฐกิจหรือภาพใหญ่อะไรทั้งสิ้น จริงอยู่ บัฟเฟตต์พูดตลอดมาว่าเขา “เชื่อมั่นในอเมริกา” และเตือนว่า “อย่ามาพนันตรงกันข้ามกับอเมริกา” เวลาพูดถึง “ภาพใหญ่” พูดง่าย ๆ เศรษฐกิจและตลาดหุ้นอเมริกานั้นสุดยอด ​แต่ในการลงทุนของบัฟเฟตต์เองนั้น เขาก็แทบจะไม่สนใจว่าเศรษฐกิจในแต่ละช่วงเวลาจะเป็นอย่างไร เศรษฐกิจดี เขาก็ซื้อหุ้น เศรษฐกิจเลวร้าย เขาก็ยิ่งซื้อหุ้นมากขึ้น ว่าที่จริงเขาก็ซื้อหุ้นมาตลอดไม่ต่ำกว่า 70 ปีแล้ว ในขณะที่ขายหุ้นน้อยกว่ามาก เพราะเขาซื้อหุ้นแล้วเก็บยาว กลยุทธ์หลักก็คือ ซื้อแล้วถือ แทบจะไม่ขายเลย ยกเว้นว่าพื้นฐานของกิจการจะเกิดการเปลี่ยนแปลง อย่างไรก็ตาม หุ้นของบัฟเฟตต์ส่วนใหญ่มากเป็น “ซุปเปอร์สต็อก” ที่มักจะไม่เปลี่ยนแปลง หุ้นอย่างโค๊กนั้น เขาถือมาตั้งแต่ 35 ปีที่แล้ว และโค๊กก็ไม่เคยเปลี่ยน ยังเป็นน้ำอัดลมที่ขายดีที่สุดในโลกที่ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงวันนี้

แต่ในการลงทุนของบัฟเฟตต์เองนั้น เขาก็แทบจะไม่สนใจว่าเศรษฐกิจในแต่ละช่วงเวลาจะเป็นอย่างไร เศรษฐกิจดี เขาก็ซื้อหุ้น เศรษฐกิจเลวร้าย เขาก็ยิ่งซื้อหุ้นมากขึ้น ว่าที่จริงเขาก็ซื้อหุ้นมาตลอดไม่ต่ำกว่า 70 ปีแล้ว ในขณะที่ขายหุ้นน้อยกว่ามาก เพราะเขาซื้อหุ้นแล้วเก็บยาว กลยุทธ์หลักก็คือ ซื้อแล้วถือ แทบจะไม่ขายเลย ยกเว้นว่าพื้นฐานของกิจการจะเกิดการเปลี่ยนแปลง อย่างไรก็ตาม หุ้นของบัฟเฟตต์ส่วนใหญ่มากเป็น “ซุปเปอร์สต็อก” ที่มักจะไม่เปลี่ยนแปลง หุ้นอย่างโค๊กนั้น เขาถือมาตั้งแต่ 35 ปีที่แล้ว และโค๊กก็ไม่เคยเปลี่ยน ยังเป็นน้ำอัดลมที่ขายดีที่สุดในโลกที่ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงวันนี้

ผมเริ่มตระหนักว่า ภาพใหญ่นั้นน่าจะเป็นเรื่องสำคัญ โดยเฉพาะภาพใหญ่ “ระยะยาว” ถึง “ยาวมาก” ที่เป็นช่วงระยะเวลาที่เราจะลงทุน “ตลอดชีวิต” ดังนั้น การวิเคราะห์ภาพการเติบโตระยะยาวทางเศรษฐกิจของประเทศจึงเป็นเรื่องสำคัญและจำเป็น เพราะถ้าเราไม่รู้หรือไม่ตระหนักและเน้นแต่การเลือกหุ้นที่ดี เป็นหุ้น “VI” ที่เก่งกว่าหุ้นอื่นและเอาชนะหุ้นอื่นได้ เราก็อาจจะพลาด ประการแรกก็คือ ถึงมันจะเป็นบริษัทที่ดีหรือดีมาก แต่มันก็อาจจะทำได้แค่ดีพอใช้ในสถานการณ์ที่เหมือนกับการ “ว่ายน้ำสวนกระแส” หรือประการที่สองก็คือ ต่อให้มันดีมาก แต่ตลาดอาจจะกำลังเล็กลง หุ้นก็คงไปไหนไม่ได้ไกล-ในระยะยาว

​ผมคิดว่า การที่วอเร็น บัฟเฟตต์และปีเตอร์ ลินช์ประสบความสำเร็จสูงมากทั้ง ๆ ที่ไม่ได้สนใจเรื่องเศรษฐกิจและสนใจแต่เรื่องของหุ้นนั้น เป็นเพราะเศรษฐกิจอเมริการะยะยาวถึงยาวมากนั้น ดีและเติบโตมาตลอด ไม่ได้เหมือนกับประเทศพัฒนาแล้วอีกหลาย ๆ ประเทศที่รวมถึงญี่ปุ่นที่เมื่อโตถึงจุดหนึ่งก็เริ่มชะลอตัวและโตช้าลงมากหรือไม่โตเลยอย่างถาวร เหตุผลอาจจะเป็นเพราะว่าอเมริกามีระบบการเมืองและการปกครองที่เน้นความเป็นทุนนิยม มีเสรีภาพและความเป็นประชาธิปไตยสูง และที่สำคัญก็คือ มีประชากรเพิ่มขึ้นตลอดเวลาเนื่องจากการอพยพของคนจากต่างประเทศทั่วโลก

ดังนั้น จึงไม่จำเป็นที่เราจะต้องกังวลกับสภาวการณ์ทางเศรษฐกิจสั้น ๆ ที่มีขึ้นและลงตลอดเวลา

ผมเชื่อเรื่องการลงทุนแบบ Bottom Up มานานและก็ทำกำไรจากการลงทุนมาอย่างดีมากจนถึงช่วงเร็ว ๆ นี้ แต่แล้ว สภาวการณ์ทางเศรษฐกิจ สังคมและการเมืองของไทยก็ดูเหมือนจะเริ่มเปลี่ยนแปลงไปในทางที่แย่ลง ประชากรของไทยก็เริ่มแก่ตัวลงอย่างรวดเร็ว ตลาดหุ้นสะท้อนภาพนั้นในช่วงประมาณ 8-9 ปีที่ผ่านมาโดยการที่ดัชนีตลาดหุ้นไม่ปรับตัวขึ้นเลย เช่นเดียวกับการเติบโตของผลกำไรของบริษัทจดทะเบียนที่เติบโตน้อยมาก นั่นทำให้ผมเริ่มคิดว่า “ภาพใหญ่” น่าจะมีความสำคัญไม่น้อยไปกว่า “ภาพเล็ก” ผมเปรียบเทียบว่า ประเทศก็เหมือนน้ำ บริษัทเหมือนปลา ถ้าน้ำไม่ดี ปลาก็มักจะอยู่ยาก ไม่ต้องพูดว่าจะแข็งแรงเติบโต

การวิเคราะห์เรื่องภาพใหญ่ของประเทศไทยในช่วง 7-8 ปีที่ผ่านมานำให้ผมย้ายการลงทุนบางส่วนสู่ตลาดหุ้นเวียตนามที่ผมมองว่ากำลังเข้าสู่ “ทศวรรษทองของเวียตนาม” ทั้งในทางเศรษฐกิจและตลาดหุ้น แม้ว่าเวลานั้น แทบจะไม่มีคนรู้จักหรือสนใจที่จะไป เพราะมันเป็น “ตลาดชายขอบ” ที่ยังไม่มีอะไรพร้อมรวมถึงกฎระเบียบในการซื้อขายในตลาดหุ้น

ว่าที่จริง แม้แต่สภาพสถานะการเงินการคลังของประเทศก็ยังไม่เสถียร ค่าเงินตกลงมาเกิน 30% และทุนสำรองก็ยังต่ำมาก อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับสูงจนแทบจะไม่คุ้มกับการลงทุน แต่ทั้งหมดนั้นเป็น “ภาพเล็ก” ที่กำลังจะเปลี่ยนแปลงไปตาม “ภาพใหญ่” ของประเทศเวียตนามที่พร้อมจะเข้ามาเป็นผู้เล่นทางเศรษฐกิจ “ระดับโลก” ในระยะยาว

ปัจจัยในการแข่งขันทางเศรษฐกิจของเวียตนามแทบทุกอย่าง อยู่ในระดับต้น ๆ เปรียบเทียบกับประเทศกำลังพัฒนาทั้งหลาย ซึ่งก็ดึงดูดเม็ดเงินจากบริษัทชั้นนำทั่วโลกเข้ามาลงทุนโดยเฉพาะในการผลิตเพื่อการส่งออก ซึ่งนั่นก็นำมาซึ่งการเติบโตของรายได้ของคนเวียตนามที่ก่อให้เกิดการบริโภคในประเทศที่เติบโตสูงยิ่งกว่า และนั่นก็นำมาสู่บริษัทขนาดใหญ่และบริษัทในอุตสาหกรรมใหม่ ๆ ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ที่จะเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว

การเลือกหุ้นเวียตนามของผมเองก็เน้นไปที่ “ภาพใหญ่” มากกว่าที่จะไปค้นหาหุ้นเป็นรายตัว เหตุผลส่วนหนึ่งก็เพราะว่าผมไม่มีความสามารถและ/หรือมีแรงพอที่จะเข้าไปศึกษาและตรวจสอบรายละเอียดของหุ้นแต่ละตัวได้ ว่าที่จริง ผมเคยไปเวียตนามแค่ 2-3 ครั้งในรอบ 7-8 ปีที่ผ่านมา วิธีการที่ผมใช้ในการเลือกก็คือการดูว่าในอนาคต ไม่เกิน 10 ปีนับจากวันนี้ จะมีบริษัทในอุตสาหกรรมไหนที่จะรุ่งเรืองขึ้นมาก และบริษัทไหนน่าจะเป็น “ผู้ชนะ” และมันจะมีขนาดใหญ่แค่ไหนเมื่อเปรียบเทียบกับขนาดเศรษฐกิจของเวียตนามในขณะนั้น ซึ่งผมก็มองว่าจะใหญ่กว่าประเทศไทยในวันนี้

ผมเลือกลงทุนในหุ้นค้าปลีกสมัยใหม่ที่ “โดดเด่นที่สุด” เลือกหุ้นห้างช็อปปิงมอลที่จะโตขึ้นมากตามความร่ำรวยของผู้คน เลือกหุ้นสนามบินที่เป็นเจ้าของสนามบินเกือบทั้งประเทศ เลือกหุ้นพลังงานไฟฟ้าทุกประเภท ทั้งที่ใช้พลังงานถ่านหิน แก๊ซธรรมชาติ เขื่อน และพลังงานทางเลือก ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องมีเพิ่มขึ้นต่อเนื่องอีกเป็นสิบ ๆ ปี เลือกหุ้นโรงพยาบาลเอกชนที่ยังเล็กมากและเพิ่งจะเกิดตามความมั่งคั่งของคนและเลือกหุ้นเทคโนโลยีดิจิทัลขนาดใหญ่ที่สุดที่เวียตนามมีและอาจจะเติบโตขึ้นมาเป็นบริษัทระดับโลกได้ อานิสงค์จากความโดดเด่นด้านวิทยาศาสตร์ของคนเวียตนาม เป็นต้น

และทั้งหมดนั้นก็เป็นการลงทุนแบบ Macro ของผมในตลาดหุ้นเวียตนามโดยที่ตัดรายละเอียดของบริษัทไปมาก จริงอยู่ การศึกษารายละเอียดแบบ Bottom Up นั้นมีประโยชน์แน่นอน แต่ในกรณีของเวียตนามนั้น ผมคิดว่าส่วนใหญ่ อาจจะ 8-90% ผลก็จะออกมาว่าผมจะ “ได้หุ้นตัวเดียวกัน” โดยดูหรือวิเคราะห์หุ้นจากภาพใหญ่เป็นหลัก ​

โลกในมุมมองของ Value Investor
9 กันยายน 2566
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

LATEST NEWS

“Smarthome” สมาร์ทโฮมยืนหนึ่งเครื่องใช้ไฟฟ้าสำหรับทุกครอบครัว

เมื่อพูดถึงแแบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน เชื่อว่าใครหลายๆ คน คงจะนึกถึงแบรนด์ “Smarthome” เป็น 1 ในคำตอบในใจอย่างแน่นอน ด้วยจุดเด่นของสินค้าที่แข็งแรง ทนทาน ดีไซน์ทันสมัยและราคาที่สามารถเข้าถึงได้ วันนี้เราจะมาทำความรู้จักกับแบรนด์ “Smarthome” กันให้มากยิ่งขึ้น

บิ๊กดีลสะเทือนวงการ! กรุงศรีฟินโนเวตจับมืออีฟราสตรัคเจอร์ เปิดฉากลงทุนมหาศาลปั้นกองทุนใหม่หนุนสตาร์ทอัพรายเล็กก้าวกระโดด พร้อมเปิด Accelerator ติดอาวุธเร่งสปีดสร้างการเติบโต

กรุงศรี ฟินโนเวต ร่วมกับ อีฟราสตรัคเจอร์ (Efra Structure) ของ ป้อม ภาวุธ ผู้บุกเบิกและคร่ำหวอดในวงการอีคอมเมิร์ซไทย เตรียมปั้นกองทุนยักษ์ “ฟินโน อีฟรา ไพรเวท อิควิตตี้ ทรัสต์” (Finno Efra Private Equity Trust) มุ่งลงทุนในสตาร์ทอัพไทยและอาเซียน งบประมาณมหาศาลกว่า 1,300 ล้านบาท (หรือกว่า 35 ล้านเหรียญสหรัฐ) ภายในระยะเวลา 4 ปี เผยเริ่มพูดคุยกับสตาร์ทอัพที่น่าสนใจแล้วราว 5-6 บริษัท พ่วงด้วยการเปิด Accelerator Program อย่างเป็นทางการ เพื่อปั้นสตาร์ทอัพระดับ Seed ถึง Pre-series A ให้เติบโตสู่ระดับ Series A ได้อย่างแข็งแกร่ง

SCB CIO มองตลาดหุ้นทั่วโลกผันผวน เมื่อเข้าสู่โค้งสุดท้ายเลือกตั้งสหรัฐฯ พอร์ตหลักแนะหุ้นกลุ่มเทคฯ-สุขภาพ- สาธารณูปโภค-ทองคำ ส่วนพอร์ตเสริมสะสมเวียดนาม

SCB CIO มองตลาดหุ้นโลกจะมีความผันผวนเพิ่มขึ้นเมื่อเข้าสู่โค้งสุดท้ายของการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ จากสถิติชี้ว่า ดัชนี VIX  จะเร่งตัวขึ้นเมื่อเข้าสู่ช่วง 4 เดือนสุดท้ายก่อนการเลือกตั้ง ขณะที่สถิติในอดีตบ่งชี้ดัชนี S&P500 มีแนวโน้มชะลอตัวในช่วงเดือนส.ค.- ก.ย. แนะกลยุทธ์ลงทุนในตลาดหุ้นเลือกหุ้นคุณภาพดีเติบโตสูงงบแข็งแกร่งยอดขายกำไรเติบโตยั่งยืนเช่นกลุ่มเทคโนโลยีพร้อมผสมผสานกับหุ้นกลุ่มที่มีความทนทานต่อภาวะตลาดผันผวนเช่นกลุ่มสาธารณูปโภค  สุขภาพและสินค้าจำเป็น พร้อมระวังลงทุนในหุ้นกลุ่มขนาดเล็กจากกำไรของกิจการของหุ้นขนาดเล็กค่อนข้างผันผวนและอิงกับเศรษฐกิจสหรัฐฯเป็นหลักซึ่งอาจได้รับผลกระทบจากการที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังเข้าสู่ช่วงของการชะลอตัวลง สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ปานกลาง-สูง แนะลงทุนหุ้นเวียดนามจากดัชนีฯที่ได้แรงหนุนจากเศรษฐกิจที่เติบโตต่อเนื่อง

RELATED