SCB CIO มองภาคอสังหาจีนซบเซา แนะเลี่ยงลงทุน “ไฮยีลด์บอนด์จีน”

SCB CIO มองอัตราดอกเบี้ยในตลาดโลกอยู่ในระดับสูง  ส่งผลให้ผู้ออกหุ้นกู้ของจีนมีความสามารถชำระหนี้ลดลง  แนะหลีกเลี่ยงลงทุนในหุ้นกู้ High Yield ของจีนออกไปอีก 1-2 ปีข้างหน้า ยังมีความเสี่ยงสูง ในปี 2567-2568 หุ้นกู้ High Yield ครบกำหนดไถ่ถอนประมาณ 37,808 ล้านดอลลาร์สหรัฐ  ส่วนหุ้นกู้ไทยมีมูลค่า 4.4 ล้านล้านบาท เป็น Investment Grade ประมาณ 95%  และ High Yield 5%  ชี้ลงทุนในหุ้นกู้ IG ผู้ออกยังสามารถชำระคืนเงินต้นและดอกเบี้ยได้สม่ำเสมอมีงบดุลแข็งแรงและทนทานต่อสภาวะเศรษฐกิจในอนาคตที่คาดว่าจะชะลอตัวลง  หากนักลงทุนที่รับความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนได้แนะลงทุนในตราสารหนี้สกุลเงินดอลล่าร์ผ่าน Capped Floored Floater Note เป็นหุ้นกู้อนุพันธ์แฝงที่อ้างอิงอัตราดอกเบี้ยที่กำหนดผลตอบแทนขั้นต่ำและสูง   โอกาสรับผลตอบแทนประมาณ 4.6% ต่อปีหรือลงทุนใน Callable Note  อายุประมาณ 1 ปีโอกาสได้รับผลตอบแทนประมาณ 5.25% ต่อปี 

นายศรชัย สุเนต์ตา, CFA SCB Wealth Chief Investment Officer ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารฝ่าย Investment Office and Product Function กลุ่มธุรกิจ Wealth ธนาคารไทยพาณิชย์  เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นกู้ความเสี่ยงสูง (High Yield) ในเอเชียไม่นับรวมญี่ปุ่น มีสัดส่วนหุ้นกู้ของบริษัทจีนค่อนข้างมาก โดยจากข้อมูลของดัชนี Bloomberg Asia Ex-Japan USD Credit HY  พบว่า มีหุ้นกู้ของบริษัทจีน ประมาณ 20%  และเป็นหุ้นกู้ในกลุ่มอสังหาฯ ประมาณ 20% ในจำนวนนี้รวมหุ้นกู้บริษัท คันทรี การ์เด้นท์ ที่เป็นประเด็นข่าวอยู่ในปัจจุบัน ปีนี้ครบกำหนดไถ่ถอน 850 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แม้ว่าจะจ่ายเงินต้นและดอกเบี้ยสำเร็จไปแล้ว แต่ยังเหลือที่จะต้องจ่ายในปีถัดๆ ไปอีกจำนวนมาก โดยเฉพาะช่วงปี 2567-2569 ที่มียอดหุ้นกู้ครบกำหนดชำระสูงถึง 11,152 ล้านดอลลาร์สหรัฐ  

ทั้งนี้ ด้วยจังหวะเศรษฐกิจจีนที่ซบเซา ทำให้ภาคอสังหาริมทรัพย์ของจีนมีความอ่อนแอค่อนข้างมาก จากปริมาณความต้องการที่อยู่อาศัยที่ลดลง ส่วนอัตราดอกเบี้ยในตลาดโลกก็ยังอยู่ในระดับสูง จึงทำให้ผู้ออกหุ้นกู้จากจีนมีความสามารถชำระหนี้หุ้นกู้ลดลง โดยเฉพาะที่เป็นสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งในสถานการณ์ดังกล่าว SCB CIO แนะนำให้หลีกเลี่ยงการลงทุนในหุ้นกู้ High Yield ของจีนออกไปก่อน  นับจากนี้ไปจนถึง 1-2 ปีข้างหน้า เนื่องจากยังมีความท้าทายมากพอสมควร  ในช่วงปี 2567-2568 จำนวนหุ้นกู้ High Yield ของบริษัทจีน ที่จะครบกำหนดไถ่ถอนมีสูงถึง 37,808 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นประมาณครึ่งหนึ่งของหุ้นกู้ที่ออกมาแล้วและจะครบกำหนดชำระนับตั้งแต่ปี 2566-2586

“จากการพิจารณาข้อมูลผลตอบแทนของหุ้นกู้ High Yield บริษัทในเอเชียไม่นับรวมญี่ปุ่น พบว่า ปรับตัวลงมาแล้วประมาณ -4.94% เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2565 ขณะที่หุ้นกู้ที่อยู่ในระดับลงทุนได้ (Investment Grade) ให้ผลตอบแทนเป็นบวก ส่วนหุ้นกู้ High Yield ของจีน ให้ผลตอบแทน -14.64% ซึ่งลดลงมากกว่าตลาดรวม สะท้อนให้เห็นว่า กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ยังมีอะไรน่ากังวลอยู่ จึงควรหลีกเลี่ยงการลงทุนไปก่อน จนกว่าสถานการณ์ความต้องการที่อยู่อาศัยในจีนจะดีขึ้น และอัตราดอกเบี้ยเริ่มปรับตัวลดลง” นายศรชัย กล่าว  

ในส่วนของตลาดหุ้นกู้ภาคเอกชนไทย มีมูลค่าประมาณ 4.4 ล้านล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นหุ้นกู้ Investment Grade  (IG) ประมาณ 95%  และหุ้นกู้ High Yield มีเพียง 5% หรือประมาณ 2.2 แสนล้านบาทเท่านั้น  ซึ่งหุ้นกู้ IG ยังไม่น่ากังวล เนื่องจากผู้ออกหุ้นกู้ยังสามารถชำระคืนเงินต้นและดอกเบี้ยได้สม่ำเสมอ ส่วนหุ้นกู้ High Yield บางบริษัทมีปัญหามากขึ้น จึงขอแนะนำผู้ลงทุน หากต้องการลงทุนในหุ้นกู้ไทย ให้ระมัดระวังการลงทุนในหุ้นกู้ High Yield และควรเลือกลงทุนในหุ้นกู้ Investment Grade เนื่องจากสถานการณ์ดอกเบี้ยที่แพงขึ้น เพิ่มภาระต้นทุนให้บริษัทได้  ซึ่งหากบริษัทอ่อนแอจะได้รับผลกระทบ  ในขณะที่บริษัทที่ออกหุ้นกู้ Investment Grade จะได้รับผลกระทบน้อยกว่า เพราะงบดุลแข็งแรงและ ทนทานต่อสภาวะเศรษฐกิจในอนาคตที่คาดว่าจะชะลอตัวลงมากกว่าด้วย 

นายศรชัย กล่าวว่า นักลงทุนควรพิจารณาเส้นอัตราผลตอบแทน (yield curve) ของแต่ละประเทศ เพื่อค้นหาโอกาสลงทุนที่น่าสนใจด้วย ซึ่งเรามองว่าปัจจุบัน yield curve ของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อยู่สูงกว่าไทย ยิ่งในสถานการณ์ที่สหรัฐฯ อยู่ในสภาวะอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยระยะยาว (inverted yield curve) จึงทำให้ส่วนต่างระหว่าง yield curve ของสหรัฐฯ และไทยมีมากขึ้น และสูงกว่า 10 ปีที่ผ่านมามาก เช่น ถ้าลงทุนในตราสารหนี้ที่มีความเสี่ยงต่ำระยะสั้นหรือกองทุนกลุ่มตราสารตลาดเงิน (Money Market)  สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ จะมีอัตราผลตอบแทนประมาณ 5% ต่อปี ขณะที่ Money Marketในไทย ให้ผลตอบแทนประมาณ1.68% ต่อปี หรือหากลงทุนในหุ้นกู้ Investment Grade สกุลดอลลาร์สหรัฐฯ จะได้รับผลตอบแทนที่น่าสนใจกว่าไทยเช่นกัน

ทั้งนี้ เราแนะนำให้ผู้ลงทุนที่มีประสบการณ์ลงทุน หรือรับความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนได้ไปลงทุนในตราสารหนี้สกุลเงินดอลล่าร์ เช่น การลงทุนผ่าน Capped Floored Floater Note ที่ออกโดยสถาบันการเงิน ในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นหุ้นกู้อนุพันธ์แฝงที่อ้างอิงอัตราดอกเบี้ยที่กำหนดผลตอบแทนขั้นต่ำและสูงที่จะได้รับ ซึ่งให้ผลตอบแทนประมาณ 4.6% ต่อปี หรืออาจไปลงทุนใน Callable Note ซึ่งเป็นตราสารหนี้ที่ผู้ออกตราสารสามารถไถ่ถอนก่อนกำหนดได้ ในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ อายุการลงทุนประมาณ 1 ปี ซึ่งมีโอกาสได้รับผลตอบแทนประมาณ 5.25% ต่อปี 

ส่วนกรณีที่ต้องการลงทุนหุ้นกู้ Investment Grade ผ่านกองทุนรวม ก็มีหลายกองทุนที่ลงทุนในตราสารหนี้ Investment Grade เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ สำหรับผู้ลงทุนที่ต้องการลงทุนในหุ้นกู้สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ  หากผู้ลงทุนที่สนใจลงทุนในต่างประเทศด้วยตนเอง ผ่านสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ หากกังวลเรื่องค่าเงิน แนะนำให้ใช้ธุรกรรมประเภท Dual Currency Investment (DCI) ซึ่งเป็นหุ้นกู้อนุพันธ์แฝง ที่ใช้บริหารจัดการความประสงค์โดยใช้สกุลเงินต่างประเทศในอนาคต ซึ่งจะกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนเป้าหมายเอาไว้ล่วงหน้า กรณีที่ลงทุนจนครบอายุแล้ว อัตราแลกเปลี่ยนเป็นไปตามที่ตกลงไว้ก็จะแปลงหุ้นกู้เป็นเงินดอลลาร์สหรัฐตามอัตราที่ตกลงแต่ในกรณีที่อัตราแลกเปลี่ยนไม่เป็นไปตามเป้าหมาย เนื่องจากเงินบาทอ่อนค่า ก็จะได้รับเงินคืนเป็นเงินต้นสกุลเงินบาทพร้อมผลตอบแทน  

LATEST NEWS

“Smarthome” สมาร์ทโฮมยืนหนึ่งเครื่องใช้ไฟฟ้าสำหรับทุกครอบครัว

เมื่อพูดถึงแแบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน เชื่อว่าใครหลายๆ คน คงจะนึกถึงแบรนด์ “Smarthome” เป็น 1 ในคำตอบในใจอย่างแน่นอน ด้วยจุดเด่นของสินค้าที่แข็งแรง ทนทาน ดีไซน์ทันสมัยและราคาที่สามารถเข้าถึงได้ วันนี้เราจะมาทำความรู้จักกับแบรนด์ “Smarthome” กันให้มากยิ่งขึ้น

บิ๊กดีลสะเทือนวงการ! กรุงศรีฟินโนเวตจับมืออีฟราสตรัคเจอร์ เปิดฉากลงทุนมหาศาลปั้นกองทุนใหม่หนุนสตาร์ทอัพรายเล็กก้าวกระโดด พร้อมเปิด Accelerator ติดอาวุธเร่งสปีดสร้างการเติบโต

กรุงศรี ฟินโนเวต ร่วมกับ อีฟราสตรัคเจอร์ (Efra Structure) ของ ป้อม ภาวุธ ผู้บุกเบิกและคร่ำหวอดในวงการอีคอมเมิร์ซไทย เตรียมปั้นกองทุนยักษ์ “ฟินโน อีฟรา ไพรเวท อิควิตตี้ ทรัสต์” (Finno Efra Private Equity Trust) มุ่งลงทุนในสตาร์ทอัพไทยและอาเซียน งบประมาณมหาศาลกว่า 1,300 ล้านบาท (หรือกว่า 35 ล้านเหรียญสหรัฐ) ภายในระยะเวลา 4 ปี เผยเริ่มพูดคุยกับสตาร์ทอัพที่น่าสนใจแล้วราว 5-6 บริษัท พ่วงด้วยการเปิด Accelerator Program อย่างเป็นทางการ เพื่อปั้นสตาร์ทอัพระดับ Seed ถึง Pre-series A ให้เติบโตสู่ระดับ Series A ได้อย่างแข็งแกร่ง

SCB CIO มองตลาดหุ้นทั่วโลกผันผวน เมื่อเข้าสู่โค้งสุดท้ายเลือกตั้งสหรัฐฯ พอร์ตหลักแนะหุ้นกลุ่มเทคฯ-สุขภาพ- สาธารณูปโภค-ทองคำ ส่วนพอร์ตเสริมสะสมเวียดนาม

SCB CIO มองตลาดหุ้นโลกจะมีความผันผวนเพิ่มขึ้นเมื่อเข้าสู่โค้งสุดท้ายของการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ จากสถิติชี้ว่า ดัชนี VIX  จะเร่งตัวขึ้นเมื่อเข้าสู่ช่วง 4 เดือนสุดท้ายก่อนการเลือกตั้ง ขณะที่สถิติในอดีตบ่งชี้ดัชนี S&P500 มีแนวโน้มชะลอตัวในช่วงเดือนส.ค.- ก.ย. แนะกลยุทธ์ลงทุนในตลาดหุ้นเลือกหุ้นคุณภาพดีเติบโตสูงงบแข็งแกร่งยอดขายกำไรเติบโตยั่งยืนเช่นกลุ่มเทคโนโลยีพร้อมผสมผสานกับหุ้นกลุ่มที่มีความทนทานต่อภาวะตลาดผันผวนเช่นกลุ่มสาธารณูปโภค  สุขภาพและสินค้าจำเป็น พร้อมระวังลงทุนในหุ้นกลุ่มขนาดเล็กจากกำไรของกิจการของหุ้นขนาดเล็กค่อนข้างผันผวนและอิงกับเศรษฐกิจสหรัฐฯเป็นหลักซึ่งอาจได้รับผลกระทบจากการที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังเข้าสู่ช่วงของการชะลอตัวลง สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ปานกลาง-สูง แนะลงทุนหุ้นเวียดนามจากดัชนีฯที่ได้แรงหนุนจากเศรษฐกิจที่เติบโตต่อเนื่อง

RELATED