เล่นหุ้นในตลาดหมี | ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

​เดือนตุลาคม 2566 เพียงเดือนเดียว หุ้นไทยตกลงไปประมาณ 6 % และนับจากต้นปี ดัชนีหุ้นไทยตกลงมาแล้วถึงประมาณ 15% และถ้าจนถึงสิ้นปีหุ้นยังไม่ดีขึ้น ปี 2566 จะเป็นปีที่เลวร้ายที่สุดนับจากปี 2551 หรือ 15 ปีมาแล้วที่หุ้นไทยตกลงมาหนักถึง 47.5% เนื่องจากวิกฤติซับไพร์ม และเป็นตลาดหุ้นที่ “ตกหนักที่สุดในโลก” ในปีนี้ ซึ่งก็พูดได้ว่าเรากำลังอยู่ใน“ตลาดหมี”

ดัชนีตลาดหุ้นเวียตนามนั้น ตั้งแต่ต้นปีจนถึงต้นเดือนกันยายน 2566 หรือเพียงประมาณ 2 เดือนที่ผ่านมา ปรับตัวขึ้นถึงประมาณ 24% เปอร์เซ็นต์ตามดัชนีตลาดหุ้นโลกที่ปรับตัวขึ้นอย่างโดดเด่น ซึ่งก็ทำให้พอร์ตหุ้นเวียตนามของผมเติบโตขึ้นมาก และก็สามารถ “ชดเชย” การตกลงมาของหุ้นไทยได้ทั้งหมดและทำให้พอร์ตโดยรวมของผมยังมีกำไรเล็กน้อยแม้ว่าพอร์ตหุ้นไทยที่ใหญ่กว่ามากจะขาดทุน

อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้น ดัชนีตลาดหุ้นทั้งโลกก็เริ่มตกลงมาอย่างแรง หุ้นเวียตนามซึ่งมักจะตามตลาดหุ้นระดับโลกก็ตกลงมาอย่างแรงเช่นเดียวกัน คือลบถึง 16.3% ตั้งแต่เดือนกันยายนถึงสิ้นตุลาคมและกลายเป็นเดือนที่ “เลือดนองตลาดหุ้น” ทั่วโลก ดัชนีตลาดหุ้นเวียตนามที่เคยทำได้โดดเด่นมากนั้นลดลงมามากและถ้านับจากต้นปีก็เหลือกำไรแค่ 7-8% หุ้น “VI” ที่เคยโดดเด่นมาตั้งแต่ต้นปีหลายตัวตอนนี้ขาดทุนอย่างหนัก

ผลก็คือ พอร์ตหุ้นโดยรวมของผมตกลงมาจนไม่เหลือกำไรแล้วนับจากต้นปีถึงวันนี้ และก็ไม่รู้ว่าถึงสิ้นปี พอร์ตของผมจะรอดจากการขาดทุนได้ไหม สำหรับผมนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดของการลงทุนก็คือ “อย่าขาดทุน” และในช่วงเวลา 26 ปีตั้งแต่เริ่มลงทุนแบบเต็มที่นั้น ก็มีเพียงไม่กี่ปีที่พอร์ตขาดทุน แม้ว่าในช่วง 10 ปีหลังนี้จะต้อง “ลุ้น” อยู่บ่อย ๆ ว่า “ปีนี้จะรอดไหม?” และหลายปีหลังนี้ พอร์ตหุ้นเวียตนามก็มักจะเป็น “Life Saver” หรือเสื้อชูชีพที่คอยช่วยพอร์ตโดยรวมของผมมาตลอด

ประเด็นสำหรับนักลงทุนแบบ VI ที่เราควรจะต้องเรียนรู้ก็คือ เมื่อเกิดภาวะตลาดหุ้นตกต่ำเป็นตลาดหมีนั้น เราควรจะต้องลงทุนหรือเล่นหุ้นอย่างไร?

คำตอบก็คือ เราต้องวิเคราะห์สถานการณ์ว่า ตลาดที่ตกลงมาเป็นภาวะตลาดหมีนั้น มาจากสาเหตุใด? เป็นเรื่องชั่วคราวหรือยาวนาน? และเราควรจะทำอย่างไรกับพอร์ตที่อาจจะตกลงไปมากแล้ว?

ข้อแรกก็คือ จะต้องวิเคราะห์หาสาเหตุว่าอะไรทำให้เกิดตลาดหมีและวิเคราะห์ว่าเหตุการณ์นั้นจะดำเนินต่อไปหรือกำลังจะหยุดแล้วและจะดีขึ้นเมื่อไร เพราะนั่นจะบอกให้เรารู้ว่าเราควรจะทำอย่างไรที่จะลดหรือบรรเทาความเสียหายจากการตกลงมาของหุ้นที่เราถืออยู่ และในอีกด้านหนึ่งก็คือ การฉวยโอกาสทำกำไรโดยการซื้อหุ้นที่ตกลงมามาก ซึ่งก็จะดีขึ้นเมื่อเหตุการณ์ร้ายแรงนั้นกำลังผ่านไปและเหตุการณ์ดีกำลังจะเกิดขึ้น

ตัวอย่างชัดเจนก็คือ เรื่องของอัตราดอกเบี้ยในท้องตลาดที่ปรับตัวขึ้นแรงในช่วงเร็ว ๆ นี้ ที่เราค่อนข้างมั่นใจว่าคือสาเหตุของการตกลงมาอย่างแรงของหุ้นทั่วโลก สิ่งที่เราจะต้องวิเคราะห์ก็คือ ถ้าการขึ้นของอัตราดอกเบี้ยครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว โอกาสก็เป็นไปได้ว่า การตกของหุ้นอย่างแรงก็ควรต้องหยุดลง และถ้าเรามั่นใจว่าในไม่ช้าอัตราดอกเบี้ยก็จะลดลง ก็อาจจะเป็นเวลาที่เราจะต้องทยอยซื้อหุ้น เพราะเมื่อดอกเบี้ยลดลงจริง ตลาดหุ้นโดยรวมก็มักจะดีขึ้น ซึ่งก็จะทำให้หุ้นที่เราซื้อปรับตัวขึ้น อย่างไรก็ตาม นี่ก็คือการดูเฉพาะปัจจัยทางด้านตลาดหลักทรัพย์ โดยมีสมมติฐานว่า พื้นฐานส่วนตัวของหุ้นไม่เปลี่ยนแปลง

เช่นเดียวกับหุ้นรายตัว ถ้าตลาดหุ้นที่เราดูอยู่นั้น มีพื้นฐานที่ดีและไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลง เมื่อเหตุการณ์ที่ทำให้ตลาดหุ้นตกลงมาเป็น “ตลาดหมี” หมดไปและสถานการณ์กลับดีขึ้นอย่างรวดเร็ว ดัชนีตลาดหุ้นนั้นก็น่าจะปรับตัวกลับขึ้นมาได้โดดเด่นเช่นเดิมก่อนที่จะเกิดตลาดหมี ในกรณีของเรื่องดอกเบี้ยที่ปรับขึ้นไปที่ทำให้ตลาดทั่วโลกตกลงมาเร็ว ๆ นี้ ถ้าอัตราดอกเบี้ยปรับลดลงอย่างรวดเร็ว ตลาดหุ้นจำนวนมาก เฉพาะอย่างยิ่งตลาดหุ้นสหรัฐก็จะปรับตัวขึ้นอย่างแน่นอน เช่นเดียวกับตลาดหุ้นเวียตนามที่มักปรับตัวตามหุ้นอเมริกามาตลอด

แต่สำหรับตลาดหุ้นไทย คำถามที่สำคัญก็คือ

สาเหตุของตลาดหุ้นที่ตกต่ำระดับ “แย่ที่สุดในโลก” ในปีนี้ อาจจะไม่ได้เกิดขึ้นเพราะเรื่องของอัตราดอกเบี้ยที่ปรับขึ้นแรงเพียงอย่างเดียว เพราะหุ้นไทยก่อนหน้านี้ก็แทบจะไม่เคยดี ว่าที่จริงไม่ดีมาหลายปีแล้ว และเหตุผลที่ทำให้ตลาดหุ้นไม่ดีนั้น น่าจะเป็นเพราะการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ตกต่ำลงมายาวนานแทบจะถาวร โดยในช่วง 10 ปีมานี้ที่เราโตแค่เฉลี่ยปีละไม่ถึง 2% และแนวโน้มดูเหมือนว่าจะไม่ดีขึ้น เพราะเรากำลังเป็นสังคมที่คนแก่ตัวลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งนั่นทำให้ดัชนีตลาดหุ้นไม่ไปไหนมาถึง 10 ปีเช่นกัน

พูดง่าย ๆ ก็คือ ตลาดหุ้นไทยที่ตกต่ำลงเป็นตลาดหมีครั้งนี้นั้น มาจาก 2 สาเหตุคือ จากปัญหาภายในของไทยเองที่ต่อเนื่องมายาวนานและก็ยังไม่เห็นว่าจะเปลี่ยนแปลงดีขึ้นอย่างไรในเวลาอันสั้น และอีกสาเหตุหนึ่งก็คือ ปัญหาจาก “โลก” ในเรื่องของดอกเบี้ยและความถดถอยของเศรษฐกิจที่ตามมา ซึ่งเข้ามาซ้ำเติม และอาจจะเป็นเหตุผลว่าทำไมหุ้นไทยถึงแย่มากที่สุดในปีนี้ อย่างไรก็ตาม ถ้าอัตราดอกเบี้ยปรับลดลงได้เร็ว ผมก็คิดว่า มีโอกาสที่ดัชนีหุ้นไทยก็จะต้องดีขึ้น แม้ว่าจะดีขึ้นไม่เท่ากับตลาดหุ้นอื่นที่ไม่ได้มีปัญหาของตนเองอยู่แล้ว

การเกิดขึ้นของตลาดหมีรอบนี้นั้น ผมคิดว่ามันได้ทำลายภาวะ “การเก็งกำไร” ในตลาดหุ้นไทยลงไปมาก แต่ถ้าวัดจากค่า PE ของหุ้นรายตัวและของตลาดก็ยังไม่ถูกเลย และหุ้นหลายตัวที่มีคุณภาพดีพอใช้ก็ยังมีค่า PE ที่สูงเกินไป เพราะดูแล้วการเติบโตของธุรกิจยังคงต่ำอยู่อานิสงค์จากภาวะเศรษฐกิจที่ไม่ดีนักของไทย ดังนั้น สำหรับผมแล้ว

หุ้นเก็งกำไรหนักที่มีค่า PE สูงลิ่วและเป็นแนว “หุ้นที่อยู่ในคอร์เนอร์” นั้น แม้ว่าราคาหุ้นอาจจะตกลงมามาก ก็จะยังอันตรายมากที่จะลงทุน เพราะแม้ว่าหลายตัวคอร์เนอร์จะ “แตก” ไปแล้ว แต่หลายตัวก็ยังอยู่ในคอร์เนอร์อยู่ การที่หุ้นอาจจะตกลงมาแรงมากในระยะต่อไปก็เป็นไปได้สูง เฉพาะอย่างยิ่งถ้าเศรษฐกิจโลกและไทยไม่ได้ฟื้นตัวดีขึ้นอย่างที่คาด

หุ้น IPO ที่ต่ำกว่าจองถึงกว่า 30-40% ตั้งแต่เข้าซื้อขายวันแรกหลายตัวในช่วง “ตลาดหมี” 2-3 เดือนที่ผ่านมานั้น เป็นสัญญาณที่เตือนว่า ไม่ควรเก็งกำไรในตลาดหุ้นไทยในช่วงที่ปัจจัยทั้งภายในและภายนอกยังไม่เห็นสัญญาณที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน

ในส่วนของหุ้นพื้นฐานที่มีความมั่นคงทางธุรกิจสูงและทนทานต่อภาวะเศรษฐกิจตกต่ำสูงและมีราคาหุ้นที่ค่อนข้างถูก

เช่นมีค่า PE ปกติไม่เกิน 10 เท่าและมีการจ่ายปันผลอย่างสม่ำเสมอประมาณ 3-4% ต่อปีขึ้นไป ผมคิดว่าหากมีราคาตกลงมาหรือแม้ว่าราคาก็ไม่ได้ตกลงมาเลย น่าจะเป็นช่วงเวลาที่ลงทุนได้ เพราะผมคิดว่าเมื่อภาวะเลวร้ายในระดับโลกลดลงและเห็นได้ว่ากำลังดีขึ้น ตลาดหุ้นไทยก็น่าจะดีขึ้นได้ นำโดยหุ้นเหล่านี้ แม้ว่าภาวะภายในประเทศไทยเองก็ยังไม่เอื้ออำนวยเท่าไรนัก

คนที่ลงทุนในตลาดหุ้นเวียตนามหรือกำลังคิดว่าจะลงทุน ตลาดหมีรอบนี้น่าจะเป็นโอกาสที่จะเข้าซื้อหุ้นที่ตกลงมาอย่างหนัก หรือหุ้นที่ไม่ได้ตกมากแต่หาซื้อได้ยากเนื่องจากเป็นหุ้นที่สัดส่วนผู้ถือหุ้นต่างประเทศเต็ม เพราะปัญหาการตกลงมาของหุ้นเวียตนามเป็นเรื่องของอัตราดอกเบี้ยโลกที่ปรับตัวขึ้นสูงมากซึ่งกระทบกับเศรษฐกิจเวียตนามด้วย หากปัญหานี้ลดลง ตลาดเวียตนามก็น่าจะปรับตัวขึ้นได้อย่างรวดเร็ว

LATEST NEWS

“Smarthome” สมาร์ทโฮมยืนหนึ่งเครื่องใช้ไฟฟ้าสำหรับทุกครอบครัว

เมื่อพูดถึงแแบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน เชื่อว่าใครหลายๆ คน คงจะนึกถึงแบรนด์ “Smarthome” เป็น 1 ในคำตอบในใจอย่างแน่นอน ด้วยจุดเด่นของสินค้าที่แข็งแรง ทนทาน ดีไซน์ทันสมัยและราคาที่สามารถเข้าถึงได้ วันนี้เราจะมาทำความรู้จักกับแบรนด์ “Smarthome” กันให้มากยิ่งขึ้น

บิ๊กดีลสะเทือนวงการ! กรุงศรีฟินโนเวตจับมืออีฟราสตรัคเจอร์ เปิดฉากลงทุนมหาศาลปั้นกองทุนใหม่หนุนสตาร์ทอัพรายเล็กก้าวกระโดด พร้อมเปิด Accelerator ติดอาวุธเร่งสปีดสร้างการเติบโต

กรุงศรี ฟินโนเวต ร่วมกับ อีฟราสตรัคเจอร์ (Efra Structure) ของ ป้อม ภาวุธ ผู้บุกเบิกและคร่ำหวอดในวงการอีคอมเมิร์ซไทย เตรียมปั้นกองทุนยักษ์ “ฟินโน อีฟรา ไพรเวท อิควิตตี้ ทรัสต์” (Finno Efra Private Equity Trust) มุ่งลงทุนในสตาร์ทอัพไทยและอาเซียน งบประมาณมหาศาลกว่า 1,300 ล้านบาท (หรือกว่า 35 ล้านเหรียญสหรัฐ) ภายในระยะเวลา 4 ปี เผยเริ่มพูดคุยกับสตาร์ทอัพที่น่าสนใจแล้วราว 5-6 บริษัท พ่วงด้วยการเปิด Accelerator Program อย่างเป็นทางการ เพื่อปั้นสตาร์ทอัพระดับ Seed ถึง Pre-series A ให้เติบโตสู่ระดับ Series A ได้อย่างแข็งแกร่ง

SCB CIO มองตลาดหุ้นทั่วโลกผันผวน เมื่อเข้าสู่โค้งสุดท้ายเลือกตั้งสหรัฐฯ พอร์ตหลักแนะหุ้นกลุ่มเทคฯ-สุขภาพ- สาธารณูปโภค-ทองคำ ส่วนพอร์ตเสริมสะสมเวียดนาม

SCB CIO มองตลาดหุ้นโลกจะมีความผันผวนเพิ่มขึ้นเมื่อเข้าสู่โค้งสุดท้ายของการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ จากสถิติชี้ว่า ดัชนี VIX  จะเร่งตัวขึ้นเมื่อเข้าสู่ช่วง 4 เดือนสุดท้ายก่อนการเลือกตั้ง ขณะที่สถิติในอดีตบ่งชี้ดัชนี S&P500 มีแนวโน้มชะลอตัวในช่วงเดือนส.ค.- ก.ย. แนะกลยุทธ์ลงทุนในตลาดหุ้นเลือกหุ้นคุณภาพดีเติบโตสูงงบแข็งแกร่งยอดขายกำไรเติบโตยั่งยืนเช่นกลุ่มเทคโนโลยีพร้อมผสมผสานกับหุ้นกลุ่มที่มีความทนทานต่อภาวะตลาดผันผวนเช่นกลุ่มสาธารณูปโภค  สุขภาพและสินค้าจำเป็น พร้อมระวังลงทุนในหุ้นกลุ่มขนาดเล็กจากกำไรของกิจการของหุ้นขนาดเล็กค่อนข้างผันผวนและอิงกับเศรษฐกิจสหรัฐฯเป็นหลักซึ่งอาจได้รับผลกระทบจากการที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังเข้าสู่ช่วงของการชะลอตัวลง สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ปานกลาง-สูง แนะลงทุนหุ้นเวียดนามจากดัชนีฯที่ได้แรงหนุนจากเศรษฐกิจที่เติบโตต่อเนื่อง

RELATED