ทรู คอร์ปอเรชั่น เผยผลประกอบการปี 2566 กำไร EBITDA ดีต่อเนื่อง 4 ไตรมาส รายได้รวมโต ผล Synergy เกินเป้า

บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) รายงานผลประกอบการปี 2566 รายได้รวมจากธุรกิจหลักเติบโตดีขึ้นทั้งจากการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่และบริการออนไลน์ พร้อมยอดผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่เพิ่มขึ้น  มูลค่า Synergy ปี 2566 ได้เกินเป้าหมายจากการเร่งการดำเนินการตามแผนงานสำคัญต่างๆ  โดย EBITDA เพิ่มขึ้นเป็นไตรมาสที่ 4 ติดต่อกันเป็นผลมาจากการรับรู้ผลประโยชน์จากการควบรวม (Synergy) และการเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน

นายมนัสส์ มานะวุฒิเวช ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)  เปิดเผยว่า “ผลประกอบการ ทรู คอร์ปอเรชั่น ปี 2566 นับว่าประสบความสำเร็จเกินคาด ด้วยจุดแข็งที่ผสมผสานกัน ส่งผลให้รายได้เติบโตอย่างต่อเนื่องและความสามารถในการทำกำไรที่ดีขึ้น เรายังคงมุ่งมั่นที่จะส่งมอบคุณค่าและดำเนินการตามแผนบูรณาการและเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ ทำให้สามารถบรรลุเกินเป้าหมายในการรับรู้ผลประโยชน์จากการควบรวมในปีนี้

โดยความมุ่งมั่นอย่างเต็มที่ในปีที่ผ่านมาในการนำองค์กรใหม่สู่การสร้างวัฒนธรรมและแนวทางการทำงานที่เป็นหนึ่งเดียว พร้อมทั้งผสมผสานจุดแข็งในการดำเนินงานในธุรกิจ ทำให้เราเชื่อว่าทรู คอร์ปอเรชั่น พร้อมแล้วสำหรับการเติบโตและความสามารถในการทำกำไรในปี 2567

อีกทั้งยังได้รับปัจจัยสนับสนุนทางเศรษฐกิจมหภาค เช่น การเติบโตของภาคการท่องเที่ยวทั้งในประเทศและต่างประเทศ การเพิ่มขึ้นของการใช้งานข้อมูล และไลฟ์สไตล์ดิจิทัลที่เพิ่มขึ้น

ในไตรมาสที่ 4 บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น ประสบความสำเร็จจากการรับรู้ผลประโยชน์จากการควบรวมสุทธิ (Net Synergies) คิดเป็นมูลค่า 1 พันล้านบาท จากการดำเนินการตามแผนงานสำคัญอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นผลดีต่อ EBITDA และงบลงทุน (CAPEX) อีกทั้งการดำเนินการพัฒนาเครือข่ายให้ทันสมัยได้เกินกว่าเป้าหมาย จึงส่งผลดีทั้งการประหยัดพลังงานและค่าเช่าพื้นที่

ตลอดจนการเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการงบลงทุน (CAPEX) การรับรู้ผลประโยชน์จากการควบรวมเป็นไปอย่างต่อเนื่องด้วยการนำเสนอการให้บริการที่รวมเทคโนโลยีด้านการสื่อสารทั้งในแบบเคลื่อนที่และประจำที่ (FMC) ที่หลากหลายเข้าด้วยกัน ด้วยยอดผู้ใช้งานลูกค้าในกลุ่มนี้ที่เติบโต 16% นับตั้งแต่การควบรวมกิจการ โดยมี ARPU เพิ่มขึ้น 30%

ในช่วงเวลาเดียวกัน ทรู คอร์ปอเรชั่นจะยังคงมุ่งมั่นที่ดำเนินการตามกลยุทธ์ที่สำคัญ โดยใช้จุดแข็งในการดำเนินการทางการตลาดแบบผสมผสานของเรา ดำเนินการตามแผนการบูรณาการ และบรรลุผลสำเร็จในการรับรู้ผลประโยชน์จากการควบรวมเพื่อส่งมอบคุณค่าสูงสุดให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียของเรา”

ด้วยความมุ่งมั่นอย่างต่อเนื่องในการยกระดับประสบการณ์ของลูกค้า พร้อมทั้งนำเสนอมูลค่าเพิ่มเพื่อยกระดับไลฟ์สไตล์ดิจิทัลของลูกค้า แบรนด์ดีแทคและทรูยังคงเป็นผู้นำในกลุ่มนักท่องเที่ยวและกลุ่มแรงงานต่างด้าว โดยมียอดผู้ใช้งานโทรศัพท์เคลื่อนที่เพิ่มขึ้น 0.5 ล้านเลขหมายจากไตรมาสก่อน คิดเป็น 1% ทำให้มียอดรวมเป็น 51.9 ล้านเลขหมาย ณ สิ้นปี 2566 ทั้งนี้ ทรู คอร์ปอเรชั่นเป็นผู้ให้บริการเครือข่าย 5G ครอบคลุมมากที่สุดในประเทศ โดยครอบคลุมประชากร 90% พร้อมด้วยฐานผู้ใช้บริการ 5G ที่มากสุดถึง 10.5 ล้านราย โดยเพิ่มขึ้น 12% จากไตรมาสที่ผ่านมา

นายนกุล เซห์กัล หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านการเงิน (ร่วม) บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ทรู คอร์ปอเรชั่นรายงานผลประกอบการที่มีรายได้เติบโตต่อเนื่อง และ EBITDA เติบโตขึ้นไตรมาสที่ 4 ติดต่อกัน ในขณะที่สามารถรับรู้ผลประโยชน์จากการควบรวม (Synergy) ในปี 2566 ได้สูงกว่าเป้าหมายที่วางไว้ รายได้รวมสำหรับไตรมาสที่ 4 เพิ่มขึ้น 4.4% QoQ โดยได้แรงหนุนจากรายได้จากการให้บริการและจากการขายที่เพิ่มขึ้น รายได้จากการให้บริการไม่รวม IC (ตามการจัดประเภทรายการใหม่)

สำหรับไตรมาสที่ 4 เพิ่มขึ้น 2.0% QoQ มาจากรายได้ธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่เพิ่มขึ้น 2.3% และรายได้ธุรกิจออนไลน์เพิ่มขึ้น 2.5% จากไตรมาสที่ผ่านมา

รายได้ธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่เพิ่มขึ้นเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา จากการเพิ่มขึ้นของการกลับมาอย่างต่อเนื่องของนักท่องเที่ยวและแรงงานต่างด้าว พร้อมกับการมุ่งเน้นให้ความสำคัญกับฐานลูกค้าเดิม ส่วนการปรับขึ้นของรายได้ธุรกิจออนไลน์ได้รับแรงหนุนจากการเน้นการเพิ่มคุณภาพของการได้มาซึ่งผู้ใช้บริการ ด้วยการปรับข้อเสนอที่น่าสนใจและการตอบสนองที่ดีอย่างต่อเนื่องต่อการขายพ่วงของผลิตภัณฑ์และบริการที่เกิดภายหลังการควบรวมกิจการ

ธุรกิจโทรทัศน์บอกรับสมาชิก (Pay TV) มีรายได้จากการให้บริการแบบบอกรับสมาชิก คงที่เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน และมีรายได้จากการขายเพิ่มขึ้น 28.7% QoQ จากการเปิดตัว iPhone ใหม่ในไตรมาสที่ 3/2566

สำหรับปี 2566 ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานไม่รวมค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (D&A) ลดลง 11.2% จาก จากการรับรู้ผลประโยชน์จากการควบรวมและการควบคุมต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานไม่รวมค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายในไตรมาสที่ 4/2566 เพิ่มขึ้น 3.9% จากไตรมาสที่ผ่านมา จากต้นทุนขายที่สูงขึ้น 24.5% ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับรายได้จากการขายที่สูงขึ้น ทั้งนี้มีการควบคุมค่าใช้จ่ายส่วนอื่นของการดำเนินงานเป็นอย่างดีจากการเพิ่มประสิทธิภาพในเชิงโครงสร้างและการรับรู้ผลประโยชน์จากการควบรวม

กำไร EBITDA ในปี 2566 เพิ่มขึ้น 3.6% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยในไตรมาสที่ 4/2566 EBITDA เพิ่มขึ้น 5.0% นับเป็นไตรมาสที่ 4 ติดต่อกันที่มีการเติบโต และเพิ่มขึ้น 3 พันล้านบาทนับตั้งแต่การควบรวมกิจการ อนึ่ง การปรับเพิ่มของ EBITDA ในไตรมาสที่ 4/2566 จำนวน 1 พันล้านบาทเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้านี้มาจากเติบโตของรายได้ และการเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน โดย 50% ของการเติบโตมาจากการรับรู้ผลประโยชน์จากการควบรวม

ทั้งนี้ อัตราส่วน EBITDA ต่อรายได้จากการให้บริการไม่รวมรายได้ค่าเชื่อมต่อโครงข่าย (IC) ได้ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 55.4 % สำหรับใตรมาสที่ 4/2566

ในไตรมาสที่ 4/2566 ทรู คอร์ปอเรชั่นบันทึกผลกระทบเชิงลบที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวจากการด้อยค่าสินทรัพย์ที่มีความซ้ำซ้อนที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการพัฒนาเครือข่ายให้ทันสมัย และค่าใช้จ่ายพิเศษอื่นๆ จำนวน 10,899 ล้านบาท ส่งผลให้มีการขาดทุนสุทธิหลังหักภาษีสำหรับไตรมาส 4/2566 จำนวน 11,279 ล้านบาท ซึ่งหากไม่รวมผลกระทบที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว ขาดทุนสุทธิหลังหักภาษีจะอยู่ที่ 379 ล้านบาท ปรับตัวดีขึ้น 1,219 ล้านบาทจากไตรมาสก่อน เนื่องจาก EBITDA ที่เพิ่มขึ้นและกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนเงิน

ส่วนค่าใช้จ่ายด้านการลงทุน (CAPEX) สำหรับไตรมาสที่ 4/2566 อยู่ที่ 12,631 ล้านบาท เป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของงบลงทุนเพื่อให้ได้มาซึ่งประโยชน์จากการควบรวม จำนวน 5.8 พันล้านบาทที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการพัฒนาเครือข่ายให้ทันสมัย ซึ่งถูกชดเชยด้วยผลประโยชน์จากการควบรวม”

สำหรับการคาดการณ์ในปี 2567 บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) คาดว่ารายได้จากการให้บริการไม่รวมรายได้ค่าเชื่อมต่อโครงข่าย (IC)  จะมีการเติบโต 3-4%  EBITDA จะมีการเติบโต 9-11% และค่าใช้จ่ายลงทุนรวมงบลงทุนเพื่อให้ได้มาซึ่งประโยชน์จากการควบรวม หรือ CAPEX ประมาณการณ์ไว้ที่ 3 หมื่นล้านบาท ทั้งนี้ ทรู คอร์ปอเรชั่น คาดว่าจะสามารถทำกำไรภายหลังการปรับปรุง (Normalized) ได้ในปี 2567

ตัวเลขสำคัญทางการเงินในไตรมาส 4 ปี 2566

  • รายได้จากบริการไม่รวมค่าเชื่อมต่อโครงข่าย หรือ IC (ตามการจัดประเภทรายการใหม่) จำนวน 40,649 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0% (QoQ)
  • EBITDA อยู่ที่ 22,520 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0% (QoQ)
  • อัตรากำไร EBITDA (เมื่อเทียบกับรายได้รวม) อยู่ที่ 4%
  • ขาดทุนสุทธิภายหลังการปรับปรุง (Normalized) จำนวน 379 ล้านบาท ปรับดีขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา 1,219 ล้านบาท

LATEST NEWS

“Smarthome” สมาร์ทโฮมยืนหนึ่งเครื่องใช้ไฟฟ้าสำหรับทุกครอบครัว

เมื่อพูดถึงแแบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน เชื่อว่าใครหลายๆ คน คงจะนึกถึงแบรนด์ “Smarthome” เป็น 1 ในคำตอบในใจอย่างแน่นอน ด้วยจุดเด่นของสินค้าที่แข็งแรง ทนทาน ดีไซน์ทันสมัยและราคาที่สามารถเข้าถึงได้ วันนี้เราจะมาทำความรู้จักกับแบรนด์ “Smarthome” กันให้มากยิ่งขึ้น

บิ๊กดีลสะเทือนวงการ! กรุงศรีฟินโนเวตจับมืออีฟราสตรัคเจอร์ เปิดฉากลงทุนมหาศาลปั้นกองทุนใหม่หนุนสตาร์ทอัพรายเล็กก้าวกระโดด พร้อมเปิด Accelerator ติดอาวุธเร่งสปีดสร้างการเติบโต

กรุงศรี ฟินโนเวต ร่วมกับ อีฟราสตรัคเจอร์ (Efra Structure) ของ ป้อม ภาวุธ ผู้บุกเบิกและคร่ำหวอดในวงการอีคอมเมิร์ซไทย เตรียมปั้นกองทุนยักษ์ “ฟินโน อีฟรา ไพรเวท อิควิตตี้ ทรัสต์” (Finno Efra Private Equity Trust) มุ่งลงทุนในสตาร์ทอัพไทยและอาเซียน งบประมาณมหาศาลกว่า 1,300 ล้านบาท (หรือกว่า 35 ล้านเหรียญสหรัฐ) ภายในระยะเวลา 4 ปี เผยเริ่มพูดคุยกับสตาร์ทอัพที่น่าสนใจแล้วราว 5-6 บริษัท พ่วงด้วยการเปิด Accelerator Program อย่างเป็นทางการ เพื่อปั้นสตาร์ทอัพระดับ Seed ถึง Pre-series A ให้เติบโตสู่ระดับ Series A ได้อย่างแข็งแกร่ง

SCB CIO มองตลาดหุ้นทั่วโลกผันผวน เมื่อเข้าสู่โค้งสุดท้ายเลือกตั้งสหรัฐฯ พอร์ตหลักแนะหุ้นกลุ่มเทคฯ-สุขภาพ- สาธารณูปโภค-ทองคำ ส่วนพอร์ตเสริมสะสมเวียดนาม

SCB CIO มองตลาดหุ้นโลกจะมีความผันผวนเพิ่มขึ้นเมื่อเข้าสู่โค้งสุดท้ายของการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ จากสถิติชี้ว่า ดัชนี VIX  จะเร่งตัวขึ้นเมื่อเข้าสู่ช่วง 4 เดือนสุดท้ายก่อนการเลือกตั้ง ขณะที่สถิติในอดีตบ่งชี้ดัชนี S&P500 มีแนวโน้มชะลอตัวในช่วงเดือนส.ค.- ก.ย. แนะกลยุทธ์ลงทุนในตลาดหุ้นเลือกหุ้นคุณภาพดีเติบโตสูงงบแข็งแกร่งยอดขายกำไรเติบโตยั่งยืนเช่นกลุ่มเทคโนโลยีพร้อมผสมผสานกับหุ้นกลุ่มที่มีความทนทานต่อภาวะตลาดผันผวนเช่นกลุ่มสาธารณูปโภค  สุขภาพและสินค้าจำเป็น พร้อมระวังลงทุนในหุ้นกลุ่มขนาดเล็กจากกำไรของกิจการของหุ้นขนาดเล็กค่อนข้างผันผวนและอิงกับเศรษฐกิจสหรัฐฯเป็นหลักซึ่งอาจได้รับผลกระทบจากการที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังเข้าสู่ช่วงของการชะลอตัวลง สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ปานกลาง-สูง แนะลงทุนหุ้นเวียดนามจากดัชนีฯที่ได้แรงหนุนจากเศรษฐกิจที่เติบโตต่อเนื่อง

RELATED