“NER” รายได้ 9 เดือน เพิ่มขึ้น 353.55 ลบ. จากคำสั่งซื้อจากลูกค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศ ตอกย้ำปี 2566 โตตามเป้า

บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NER แจ้งงบ 9 เดือน บริษัทมีปริมาณขาย 369,478 ตัน เพิ่มขึ้น 60,868 ตัน คิดเป็นรายได้จากการขายรวม 18,439.90 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 353.55 ล้านบาท ปริมาณขายในผลิตภัณฑ์ยางแท่ง (STR20, STR-Mixture) ที่บริษัทฯได้รับคำสั่งซื้อจากลูกค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศ มั่นใจปี 2566 มียอดขาย 500,000 ตันตามเป้าหมาย จากราคายางพาราเริ่มมีทิศทางปรับตัวเพิ่มขึ้นตามความต้องการของตลาด

นายชูวิทย์ จึงธนสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NER ผู้ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายยางแผ่นรมควัน ยางแท่ง และยางผสม เพื่อจำหน่ายไปยังผู้ผลิตในอุตสาหกรรมยานยนต์ และกลุ่มผู้ค้าคนกลางทั้งในประเทศและต่างประเทศ เปิดเผยภาพรวมผลการดำเนินงานงวด 9 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2566 มีปริมาณขาย 369,478 ตัน เพิ่มขึ้น 60,868 ตัน หรือเพิ่มขึ้น 19.72%  คิดเป็นรายได้จากการขายรวม 18,439.90 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 353.55 ล้านบาทหรือเพิ่มขึ้น 1.95% แบ่งเป็นรายได้จากการขายในประเทศ 11,949.62 ล้านบาท หรือคิดเป็น 64.80% ของยอดขายรวม และรายได้จากการขายต่างประเทศ 6,490.28 ล้านบาท หรือคิดเป็น 35.20% ของยอดขายรวม โดยงวด 9 เดือนของปี 2566 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิเท่ากับ 1,083.87 ล้านบาทหรือคิดเป็นอัตรากำไรสุทธิร้อยละ 5.88 ของรายได้จากการขายรวม

สำหรับผลการดำเนินงานงวด 3 เดือน บริษัทมีปริมาณขายรวม 112,426 ตัน คิดเป็นรายได้จากการขายรวม 5,627.92 ล้านบาท แบ่งเป็น รายได้จากการขายในประเทศ 4,035.91 ล้านบาทหรือคิดเป็น 71.71% ของยอดขายรวม และรายได้จากการขายต่างประเทศ 1,592.01 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 28.29% ของยอดขายรวม โดยกำไรสุทธิสำหรับงวดไตรมาส 3/2566 บริษัทมีกำไรสุทธิเท่ากับ 312.27 ล้านบาท หรือคิดเป็น 5.55% ของรายได้จากการขายรวม

โดยรายได้จากการขายงวด 9 เดือนของปี 2566 เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน มียอดขายเพิ่มขึ้น 1.95% ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นด้านปริมาณขาย ในผลิตภัณฑ์ยางแท่ง (STR20, STR-Mixture) ที่บริษัทฯได้รับคำสั่งซื้อจากลูกค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศ แม้บริษัทจะมีผลต่างปริมาณขายสูงขึ้น 19.72% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ในด้านรายได้จากการขายบริษัทยังคงได้รับผลกระทบจากราคาขายที่ลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกับของปีก่อน ซึ่งบริษัทเปรียบเทียบราคาขายเฉลี่ยในช่วง 9 เดือนของปี 2566 เทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2565 ซึ่งราคาขายเฉลี่ยปี 2566 ต่ำกว่าราคาขายเฉลี่ยปี 2565 คิดเป็น 14.55%  นอกจากนี้รายได้ขายต่างประเทศที่ลดลงเกิดจากการเลื่อนการส่งมอบสินค้าไปยังประเทศจีนเนื่องจากเป็นช่วงวันหยุดวันชาติจีนคิดเป็นปริมาณขายอยู่ที่6,651.20 ตันหรือ 324.98 ล้านบาท โดยบริษัทฯมีการรับรู้รายได้ดังกล่าวในไตรมาส 4/2566

นายชูวิทย์ กล่าวถึง ภาพรวมปี 2566 ว่า บริษัทยังคงตั้งเป้าปริมาณขายสินค้าที่ 500,000 ตัน จากกำลังการผลิตทั้งหมด 515,600 ตัน โดยการเติบโตมาจากการขยายตลาดไปยังกลุ่มลูกค้าต่างๆ และความต้องการรถยนต์ไฟฟ้าที่มีแนวโน้มเติบโตเพิ่มมากขึ้น โดยในปัจจุบันบริษัทยังได้รับคำสั่งซื้อเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันบริษัทมีการขายให้กับลูกค้าไปถึงไตรมาสที่ 1/2567 แล้ว จากอานิสงค์ของคำสั่งซื้อจากประเทศจีนที่ยังมีความต้องการสูงและราคายางที่ปรับตัวดีขึ้น

นอกจากนี้บริษัทฯ มีการวางแผนการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า ควบคู่ไปกับการลดต้นทุนการผลิตและต้นทุนในการดำเนินงาน เช่น การปรับปรุงประสิทธิภาพเครื่องจักรเพื่อรองรับการผลิตที่มากขึ้นในอนาคต  ตลอดจนการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์บนหลังคาโรงงานเพิ่มเติม โดยปัจจุบันบริษัทฯมีพลังงานหมุนเวียน คือ พลังงานจากแสงอาทิตย์(โซลาร์เซลล์)และไบโอแก๊สที่ผลิตเพื่อใช้งานเองภายในบริษัท รวมกำลังการผลิต 8 เมกกะวัตต์  ซึ่งช่วยลดต้นทุนค่าพลังงานของบริษัทได้เป็นอย่างดี

ด้านสถานการณ์ราคายางพารา เริ่มมีทิศทางปรับตัวเพิ่มขึ้นตามความต้องการของตลาด (Demand) ภาวะฟื้นตัวของอุตสาหกรรมทั้งตลาดในและต่างประเทศ และการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่มีแนวโน้มขยายตัวหนุนความต้องการใช้ยางในภาคก่อสร้าง อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องเฝ้าดูอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากเศรษฐกิจโลกยังได้รับกดดันจากอัตราดอกเบี้ย เงินเฟ้อ ค่าเงินบาท

LATEST NEWS

“Smarthome” สมาร์ทโฮมยืนหนึ่งเครื่องใช้ไฟฟ้าสำหรับทุกครอบครัว

เมื่อพูดถึงแแบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน เชื่อว่าใครหลายๆ คน คงจะนึกถึงแบรนด์ “Smarthome” เป็น 1 ในคำตอบในใจอย่างแน่นอน ด้วยจุดเด่นของสินค้าที่แข็งแรง ทนทาน ดีไซน์ทันสมัยและราคาที่สามารถเข้าถึงได้ วันนี้เราจะมาทำความรู้จักกับแบรนด์ “Smarthome” กันให้มากยิ่งขึ้น

บิ๊กดีลสะเทือนวงการ! กรุงศรีฟินโนเวตจับมืออีฟราสตรัคเจอร์ เปิดฉากลงทุนมหาศาลปั้นกองทุนใหม่หนุนสตาร์ทอัพรายเล็กก้าวกระโดด พร้อมเปิด Accelerator ติดอาวุธเร่งสปีดสร้างการเติบโต

กรุงศรี ฟินโนเวต ร่วมกับ อีฟราสตรัคเจอร์ (Efra Structure) ของ ป้อม ภาวุธ ผู้บุกเบิกและคร่ำหวอดในวงการอีคอมเมิร์ซไทย เตรียมปั้นกองทุนยักษ์ “ฟินโน อีฟรา ไพรเวท อิควิตตี้ ทรัสต์” (Finno Efra Private Equity Trust) มุ่งลงทุนในสตาร์ทอัพไทยและอาเซียน งบประมาณมหาศาลกว่า 1,300 ล้านบาท (หรือกว่า 35 ล้านเหรียญสหรัฐ) ภายในระยะเวลา 4 ปี เผยเริ่มพูดคุยกับสตาร์ทอัพที่น่าสนใจแล้วราว 5-6 บริษัท พ่วงด้วยการเปิด Accelerator Program อย่างเป็นทางการ เพื่อปั้นสตาร์ทอัพระดับ Seed ถึง Pre-series A ให้เติบโตสู่ระดับ Series A ได้อย่างแข็งแกร่ง

SCB CIO มองตลาดหุ้นทั่วโลกผันผวน เมื่อเข้าสู่โค้งสุดท้ายเลือกตั้งสหรัฐฯ พอร์ตหลักแนะหุ้นกลุ่มเทคฯ-สุขภาพ- สาธารณูปโภค-ทองคำ ส่วนพอร์ตเสริมสะสมเวียดนาม

SCB CIO มองตลาดหุ้นโลกจะมีความผันผวนเพิ่มขึ้นเมื่อเข้าสู่โค้งสุดท้ายของการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ จากสถิติชี้ว่า ดัชนี VIX  จะเร่งตัวขึ้นเมื่อเข้าสู่ช่วง 4 เดือนสุดท้ายก่อนการเลือกตั้ง ขณะที่สถิติในอดีตบ่งชี้ดัชนี S&P500 มีแนวโน้มชะลอตัวในช่วงเดือนส.ค.- ก.ย. แนะกลยุทธ์ลงทุนในตลาดหุ้นเลือกหุ้นคุณภาพดีเติบโตสูงงบแข็งแกร่งยอดขายกำไรเติบโตยั่งยืนเช่นกลุ่มเทคโนโลยีพร้อมผสมผสานกับหุ้นกลุ่มที่มีความทนทานต่อภาวะตลาดผันผวนเช่นกลุ่มสาธารณูปโภค  สุขภาพและสินค้าจำเป็น พร้อมระวังลงทุนในหุ้นกลุ่มขนาดเล็กจากกำไรของกิจการของหุ้นขนาดเล็กค่อนข้างผันผวนและอิงกับเศรษฐกิจสหรัฐฯเป็นหลักซึ่งอาจได้รับผลกระทบจากการที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังเข้าสู่ช่วงของการชะลอตัวลง สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ปานกลาง-สูง แนะลงทุนหุ้นเวียดนามจากดัชนีฯที่ได้แรงหนุนจากเศรษฐกิจที่เติบโตต่อเนื่อง

RELATED