SCB CIO ชูลงทุนกลุ่ม ESG รับศก.-การเงินโลกผันผวนสูง แนะระวังความเสี่ยง Greenwashing

ดร.กำพล อดิเรกสมบัติ ผู้อำนวยการอาวุโส และหัวหน้าทีม SCB Chief Investment Office (SCB CIO) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า SCB CIO มองว่าภาพรวมการลงทุนในกองทุนรวมที่เกี่ยวข้องกับประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง โดยมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ (AUM) ของกองทุนรวมที่มีนโยบายการลงทุนเกี่ยวกับ ESG ในปี 2559-2564 เติบโตสูง เฉลี่ยเกือบ 30% ต่อปี ผลักดันให้ส่วนแบ่งตลาดของกองทุน ESG เพิ่มขึ้นจาก 3% ในปี 2559 มาเป็น 6% ในปี 2564 และทรงตัวในปี 2565 ซึ่งภูมิภาคยุโรปมีความโดดเด่นที่สุดเรื่องการลงทุนในกองทุนรวม ESG โดยพบว่า ส่วนแบ่งตลาดของกองทุน ESG สูงถึงเกือบ 30% ของ AUM รวมในยุโรป

ทั้งนี้ SCB CIO มองว่าธีมการลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ ESG เป็นธีมที่น่าสนใจเหมาะสำหรับการลงทุนระยะยาว มากกว่าคาดหวังผลตอบแทนในระยะสั้น โดยประเด็นความเสี่ยงที่มาพร้อมการเติบโตของ ESG ที่นักลงทุนต้องจับตา ได้แก่ Greenwashing หรือกระบวนการที่บริษัทต่างๆ สร้างภาพว่าปฏิบัติตามแนวทาง ESG แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่เป็นเช่นนั้น หรือเรียกสั้นๆ ว่าการฟอกเขียว

ที่ผ่านมามีกรณีตัวอย่างของกองทุนที่กล่าวอ้างว่าคัดเลือกหุ้นโดยใช้ปัจจัย ESG แต่ถูกตรวจสอบภายหลังพบว่าไม่เป็นความจริง ส่งผลให้ถูกลงโทษ และเกิดปัญหาลูกค้าถอนเงินลงทุน ราคาหุ้นบริษัทแม่ลดลงอย่างรวดเร็ว แต่รัฐบาลในหลายประเทศก็พยายามกำกับดูแลและป้องกันไม่ให้เกิด Greenwashing อยู่ โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว (DM) และจากประเด็นความท้าทายนี้เอง ทำให้นักลงทุนควรให้ความสำคัญกับการพิจารณาปัจจัยเรื่องการวัดผลด้าน ESG หรือ ESG Rating ประกอบการลงทุนมากขึ้น

ดร.กำพล กล่าวว่า นักลงทุนมีแนวโน้มให้ความสำคัญกับการพิจารณา ESG Rating ในการลงทุนมากขึ้น โดยในยุโรปซึ่งมีการจัดทำมาตรฐาน ESG พบว่า ช่วงปี 2561-2564 มีเงินลงทุนไหลเข้าไปยังกองทุนรวมที่มีมาตรฐาน Article 9 (มี ESG ที่เข้มข้น) มากกว่ากองทุนรวมที่มีมาตรฐาน Article 8 (มีการส่งเสริม ESG อยู่บ้าง) ส่วนปี 2565 ที่อัตราดอกเบี้ยและเงินเฟ้อสูง กลุ่มนักลงทุน โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ ทั้ง Gen Y และ Gen Z ยกให้ ESG Rating เป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการตัดสินใจลงทุน รองจากผลตอบแทนจากการลงทุน

ขณะเดียวกัน เมื่อวิเคราะห์ผลตอบแทนที่พิจารณาความผันผวนด้วย (Risk-adjusted return) ของกลุ่ม ESG พบว่า สูงกว่ากลุ่ม non-ESG ยิ่งเป็นเครื่องตอกย้ำว่า การลงทุนในกลุ่ม ESG เป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจในภาวะที่เศรษฐกิจและการเงินโลกในปัจจุบันที่มีความผันผวนค่อนข้างสูง

อย่างไรก็ตาม ในระยะสั้น ความสัมพันธ์ของผลตอบแทนจากการลงทุนกับ ESG Rating อาจเปลี่ยนแปลงไปได้ ตามผลกระทบของเศรษฐกิจในช่วงนั้น เช่น ในปี 2565 ที่ราคาน้ำมันโลกเร่งตัวขึ้นมาก ส่งผลให้กลุ่มผู้ผลิตพลังงานจากฟอสซิลและบริษัทที่ได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันสูง ซึ่งเป็นกลุ่มที่มี ESG Rating ที่ต่ำกว่า ให้ผลตอบแทนค่อนข้างโดดเด่นในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 ขณะที่บริษัทที่ใช้เทคโนโลยี นวัตกรรมใหม่เพื่อลดการทำลายสิ่งแวดล้อม ซึ่งมี ESG Rating สูงกว่า กลับให้ผลตอบแทนต่ำกว่ากลุ่มพลังงานฟอสซิล รวมถึงดัชนี MSCI World ที่ไม่นับรวมกลุ่มพลังงานฟอสซิล เนื่องจากส่วนใหญ่บริษัทเทคโนโลยีเหล่านี้ ถูกจัดเป็นหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี หรือกลุ่มที่มีอัตราส่วนการก่อหนี้อยู่ในระดับสูง (High leverage) ทำให้ผลตอบแทนอ่อนแอลงในช่วงดอกเบี้ยขาขึ้น

ทั้งนี้ เมื่อศึกษาข้อมูลในเชิงลึกเกี่ยวกับประเด็นความสนใจ ESG แล้ว SCB CIO พบว่า ความสนใจเร่งตัวขึ้นชัดเจนหลังปี 2559 สะท้อนได้จากการที่หน่วยงานกำกับของรัฐในหลายพื้นที่ทั่วโลกออกเกณฑ์กำกับดูแลเกี่ยวกับ ESG มากขึ้นอย่างก้าวกระโดด โดยพบว่า ในปี 2559-2563 จำนวนกฎระเบียบด้าน ESG เติบโตเฉลี่ย 41% ต่อปี และในปี 2564 เติบโต 17% ซึ่งการกำกับที่เพิ่มขึ้นส่งผลต่อเนื่องทำให้ภาคเอกชนต้องตื่นตัวกับ ESG มากขึ้น ทั้งผู้ผลิต ผู้บริโภค สถาบันการเงิน และนักลงทุน

เมื่อพิจารณาภาพรวมกองทุน ESG พบว่า ยังค่อนข้างกระจุกตัวในกลุ่มที่เป็นกองทุนรวมที่ลงทุนแบบครอบคลุมประเด็น ESG (General ESG Fund) คิดเป็น 85% ของกองทุน ESG โดยรวม มีเพียง 15% เท่านั้น ที่เป็นกองทุนที่เน้นประเด็นเฉพาะเจาะจงใน ESG (Thematic ESG Fund) ซึ่งเกือบครึ่งเป็นกลุ่มที่เน้นการจัดการด้านสภาพภูมิอากาศ (Climate Action)

LATEST NEWS

“Smarthome” สมาร์ทโฮมยืนหนึ่งเครื่องใช้ไฟฟ้าสำหรับทุกครอบครัว

เมื่อพูดถึงแแบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน เชื่อว่าใครหลายๆ คน คงจะนึกถึงแบรนด์ “Smarthome” เป็น 1 ในคำตอบในใจอย่างแน่นอน ด้วยจุดเด่นของสินค้าที่แข็งแรง ทนทาน ดีไซน์ทันสมัยและราคาที่สามารถเข้าถึงได้ วันนี้เราจะมาทำความรู้จักกับแบรนด์ “Smarthome” กันให้มากยิ่งขึ้น

บิ๊กดีลสะเทือนวงการ! กรุงศรีฟินโนเวตจับมืออีฟราสตรัคเจอร์ เปิดฉากลงทุนมหาศาลปั้นกองทุนใหม่หนุนสตาร์ทอัพรายเล็กก้าวกระโดด พร้อมเปิด Accelerator ติดอาวุธเร่งสปีดสร้างการเติบโต

กรุงศรี ฟินโนเวต ร่วมกับ อีฟราสตรัคเจอร์ (Efra Structure) ของ ป้อม ภาวุธ ผู้บุกเบิกและคร่ำหวอดในวงการอีคอมเมิร์ซไทย เตรียมปั้นกองทุนยักษ์ “ฟินโน อีฟรา ไพรเวท อิควิตตี้ ทรัสต์” (Finno Efra Private Equity Trust) มุ่งลงทุนในสตาร์ทอัพไทยและอาเซียน งบประมาณมหาศาลกว่า 1,300 ล้านบาท (หรือกว่า 35 ล้านเหรียญสหรัฐ) ภายในระยะเวลา 4 ปี เผยเริ่มพูดคุยกับสตาร์ทอัพที่น่าสนใจแล้วราว 5-6 บริษัท พ่วงด้วยการเปิด Accelerator Program อย่างเป็นทางการ เพื่อปั้นสตาร์ทอัพระดับ Seed ถึง Pre-series A ให้เติบโตสู่ระดับ Series A ได้อย่างแข็งแกร่ง

SCB CIO มองตลาดหุ้นทั่วโลกผันผวน เมื่อเข้าสู่โค้งสุดท้ายเลือกตั้งสหรัฐฯ พอร์ตหลักแนะหุ้นกลุ่มเทคฯ-สุขภาพ- สาธารณูปโภค-ทองคำ ส่วนพอร์ตเสริมสะสมเวียดนาม

SCB CIO มองตลาดหุ้นโลกจะมีความผันผวนเพิ่มขึ้นเมื่อเข้าสู่โค้งสุดท้ายของการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ จากสถิติชี้ว่า ดัชนี VIX  จะเร่งตัวขึ้นเมื่อเข้าสู่ช่วง 4 เดือนสุดท้ายก่อนการเลือกตั้ง ขณะที่สถิติในอดีตบ่งชี้ดัชนี S&P500 มีแนวโน้มชะลอตัวในช่วงเดือนส.ค.- ก.ย. แนะกลยุทธ์ลงทุนในตลาดหุ้นเลือกหุ้นคุณภาพดีเติบโตสูงงบแข็งแกร่งยอดขายกำไรเติบโตยั่งยืนเช่นกลุ่มเทคโนโลยีพร้อมผสมผสานกับหุ้นกลุ่มที่มีความทนทานต่อภาวะตลาดผันผวนเช่นกลุ่มสาธารณูปโภค  สุขภาพและสินค้าจำเป็น พร้อมระวังลงทุนในหุ้นกลุ่มขนาดเล็กจากกำไรของกิจการของหุ้นขนาดเล็กค่อนข้างผันผวนและอิงกับเศรษฐกิจสหรัฐฯเป็นหลักซึ่งอาจได้รับผลกระทบจากการที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังเข้าสู่ช่วงของการชะลอตัวลง สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ปานกลาง-สูง แนะลงทุนหุ้นเวียดนามจากดัชนีฯที่ได้แรงหนุนจากเศรษฐกิจที่เติบโตต่อเนื่อง

RELATED