ความท้าทายทางเศรษฐกิจหลัง Perfect Storm!!!

งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา วิกฤตเมื่อเกิดแล้ว ก็จะจบลงในที่สุด

จุดนี้ เราได้เผชิญกับวิกฤต Perfect Storm มาระยะหนึ่งแล้ว และเริ่มเห็นว่า ผลกระทบในมิติต่างๆ ได้เริ่มซาลง กระทั่งเงินเฟ้อในประเทศต่างๆ ก็เริ่มลงมาพอควร โดยเงินเฟ้อสหรัฐจากสูงสุด 9.1% ลดลงมาที่ 4.9% แม้ลงมาช้ากว่าที่ทุกคนหวังไว้ แต่ก็ชัดเจนว่า เงินเฟ้อกำลังกลับมาอยู่ในการควบคุมอีกรอบ ไม่พุ่งทะยาน เหมือนช่วงต้นปี 65 ทำให้พอสบายใจกันได้ว่า “มาถูกทางแล้ว” แค่รอเวลาเท่านั้น เงินเฟ้อก็น่าจะลงมาเป็นปกติอีกครั้ง

ดังนั้น จุดนี้จึงเป็นจุดสำคัญที่เราต้องเริ่มมาคิดทบทวนเรื่องความท้าทายทางเศรษฐกิจ ซึ่งรออยู่ข้างหน้า หลัง Perfect Storm ผ่านไปที่ภาคธุรกิจต้องเตรียมการตั้งแต่วันนี้

เรื่องแรก คือ ความท้าทายอันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยี ที่อีก 10 ปี ข้างหน้า ผลิตภัณฑ์สินค้า กระบวนการผลิต และวิธีการทำธุรกิจ จะเปลี่ยนไปอย่างที่คาดไม่ถึง เทคโนโลยีที่กำลังถูกคิดค้นขึ้นมา อาทิ ปัญญาประดิษฐ์ หุ่นยนต์ ระบบ Sensing ระบบสื่อสาร ตลอดจนวัสดุใหม่ๆ และอื่นๆ กำลังเปลี่ยนแปลงสมรภูมิการแข่งขันของธุรกิจอย่างที่ไม่เป็นมาก่อน

ศาสตราจารย์ Hod Lipson จากมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ผู้เชี่ยวชาญเรื่องหุ่นยนต์และปัญญาประดิษฐ์ของโลก ได้มาพูดที่ Innovation Club Thailand ให้ผู้บริหารบริษัทชั้นนำไทยฟังเมื่อเร็วๆ นี้ ว่าทุกอย่างกำลังเกิดขึ้นเร็วกว่าอัตราทวีคูณ หรือเร็วกว่า Exponential Growth หมายความว่า ถ้าเราไม่ปรับตาม เราจะตกเทรนด์ และจะกลายเป็นส่วนเกินที่ถูกคนอื่นเขาทิ้งไป ถูกคู่แข่งที่สนใจนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาพัฒนายกระดับคุณภาพสินค้า ระบบการผลิต กระบวนการขาย ก้าวข้ามเราไป

ภาคธุรกิจเอกชน ต้องเริ่มคิดตั้งแต่วันนี้ ว่าจะปรับตรงไหน จะเปลี่ยนอะไร จะนำนวัตกรรมอะไรมาใช้ในการทำงาน ส่วนภาครัฐต้องเริ่มคิดว่า หากไทยยังมีข้อจำกัดในการวิจัย พัฒนา ขาดนวัตกร ขาด Startups ของเราเอง เราจะต้องปรับเปลี่ยนกฏเกณฑ์อะไรบ้าง ที่จะเอื้อให้ธุรกิจจากต่างประเทศสนใจใช้ไทยเป็น R&D Centers เป็นฐานสำคัญในการศึกษาวิจัยและพัฒนาสินค้าและความรู้ของเขาให้รับกับความต้องการสินค้าในเอเชีย ดึงดูดผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศมา Work from Thailand ใช้ไทยเป็นฐานในการทำงาน รวมทั้งชักจูง Startups ของโลก มารวมตัวใช้ไทยเป็น Hub ในการทำธุรกิจในเอเชีย

ทั้งหมดนี้ จะกลายเป็นแต้มต่อ ช่วยให้ไทยยืมพลังของโลก มาก้าวข้ามข้อจำกัดของตนเอง ทันต่อเวลา ช่วยให้ไม่ตกขบวนในช่วงโค้งสำคัญของการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้

เรื่องที่สอง คือ ความท้าทายอันเนื่องมาจากโอกาสของธุรกิจในภูมิภาคที่กำลังเปลี่ยนไป โลกกำลังจับตามองเอเชีย แต่ประตูสู่เอเชียกำลังปิด โดยล่าสุดนักลงทุนในโลกตะวันตก ไม่สามารถเข้าทำธุรกิจในรัสเซีย กำลังพยายามย้ายฐานการผลิตออกจากจีน เริ่มลังเลใจเกี่ยวกับอินเดีย จากความที่อินเดียใกล้ชิดกับจีนและรัสเซียผ่านกลุ่ม BRICS เหลือแต่เพียงอาเซียน เป็นประตูสุดท้ายที่เหลืออยู่ที่บริษัทเหล่านี้สามารถใช้เป็นพื้นที่หลักสำหรับเป็นฐานการผลิต เพื่อเจาะและตีตลาดเอเชีย เพราะถ้าเขาพลาดตลาดนี้ ก็จะพลาดตลาดหลักที่คึกคักที่สุดของโลกสำหรับ 20 ปีข้างหน้า

ด้วยเหตุนี้ ล่าสุด อินโดนีเซีย เวียดนาม ไทย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ จึงได้กลายเป็นพื้นที่สำคัญ ที่เป็นเป้าหมายในการย้ายฐานการลงทุนเข้าสู่เอเชียของทุกคน ที่ต้องเข้ามาจับจอง ยึดหัวหาดให้ได้ ทั้งหมดหมายความต่อไปว่า 5 ปีให้หลัง

เมื่อการลงทุนโดยตรงเหล่านี้ สร้างเสร็จแล้ว ฐานการผลิตของอาเซียนทั้งหมดจะเปลี่ยนไปจะมีสินค้าใหม่ๆ ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่ผลิตในอาเซียนเข้ามาตีตลาดแข่งขันกับผลิตภัณฑ์เดิมของเรา พร้อมทำให้ห่วงโซ่การผลิตในภูมิภาคเปลี่ยนไป เกิดความต้องการวัตถุดิบแบบใหม่ๆ ที่หลากหลายซับซ้อนมากขึ้น

นอกจากนี้ การลงทุนที่เข้ามารอบใหม่นี้ จะช่วยยกระดับรายได้เฉลี่ยของประเทศต่างๆ ในอาเซียนไปอีกขั้น ทำให้เกิดเมืองใหม่ พัฒนาเมืองเก่า ย้ายถิ่นฐานครั้งสำคัญ และสร้างชนชั้นกลางกลุ่มใหม่หรือ Middle Class อีกมากกว่าร้อยล้านคน ที่จะเป็นกำลังซื้อใหม่ ที่ต้องการสินค้าต่างๆ ถ้าเราไม่เตรียมตัวตั้งแต่ตอนนี้ เราก็จะพลาดโอกาสธุรกิจครั้งสำคัญ

เรื่องสุดท้าย คือ ความท้าทายอันเนื่องมาจากการเสื่อมลงของอเมริกา ประวัติศาสตร์สอนว่า ทุกครั้งที่เบอร์ 1 เริ่มอ่อนแรงลง กระบวนการเปลี่ยนผ่าน จะนำมาซึ่งความไม่แน่นอน ความปั่นป่วน จากการเผชิญหน้าระหว่างยักษ์ใหญ่ โดยความขัดแย้งระหว่างเบอร์ 1 กับเบอร์ 2 ที่เป็นคู่ชิง จะกระเทือนถึงทุกคน อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ต้องถูกบังคับให้เลือกข้าง ว่าใครจะร่วมหัวจมท้ายกับใคร

โดยกล่าวได้ว่า ข่าวต่างๆ ที่ออกมามากมายในช่วงนี้ เป็นฉากต่างๆ ของหนังม้วนเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นการที่สหรัฐกีดกันลงโทษบริษัทจีน ห้ามจีนใช้เทคโนโลยีสหรัฐ ห้ามคนที่ใช้เทคโนโลยีสหรัฐใช้เทคโนโลยีจีน ตลอดจนการข่มขู่ยั่วยุเชิงการฑูตและการทหารในกรณีของไต้หวัน

ส่วนด้านจีน การเตรียมการในการลดผลกระทบ หาทางเลือกใหม่ในการลงทุนเงินสำรอง การเตรียมหาระบบการชำระเงินทางเลือก การหาสมัครพรรคพวกเพิ่มเติมเข้าสู่กลุ่ม BRICS เพื่อท้าทายสหรัฐ ก็เริ่มหมุนไปอย่างต่อเนื่อง

ทั้งหมดนี้ จะค่อยๆ ปีนเกลียว เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ ยิ่ง ASPI สถาบันยุทธศาสตร์อิสระของออสเตรเลีย ออกมาประเมินเมื่อต้นปีนี้ว่า เทคโนโลยีใหม่ๆ ของโลกใน 5 กลุ่มใหญ่ 44 ด้านย่อย จีนเป็นผู้นำอยู่ 37 ด้าน เทียบกับสหรัฐ 7 ด้าน ยิ่งทำให้ความไม่พอใจ ความกังวลใจของสหรัฐเพิ่มมากขึ้น กลายเป็นโจทย์สำคัญของเราว่าประเทศไทยจะครองตัวอยู่ภายใต้ความขัดแย้งระหว่างมหาอำนาจอย่างไร จุดยืนที่เหมาะสมคืออะไร ที่จะดีที่สุดในระยะยาวสำหรับไทยและภาคเอกชนไทยจะหาสมดุล เพื่อยังทำธุรกิจกับทั้งสองฝ่าย พร้อมๆ กันได้อย่างไร

ซึ่งเราต้องหาคำตอบเหล่านี้ ตั้งแต่วันนี้ แสวงหาความรู้จากผู้สันทัดกรณี เพื่อเตรียมการไว้ให้พร้อม เพราะท่ามกลางวิกฤต มีโอกาสอยู่เสมอ ความท้าทายทางเศรษฐกิจทั้ง 3 ด้านนี้ จึงเป็นเรื่องสำคัญที่เราต้องเริ่มคิด เริ่มเตรียมการตั้งแต่วันนี้ เพื่อความสำเร็จของเรา ในโลกหลัง Perfect Storm

ขอเป็นกำลังใจให้กับทุกคนครับ

บทความโดย

ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล
กรรมการและรองผู้จัดการใหญ่
ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน)

LATEST NEWS

NER พร้อมรับศักราชใหม่ปี 2568 เติบโตอย่างยั่งยืน

นายชูวิทย์ จึงธนสมบูรณ์ (ที่ 5 จากซ้าย) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ “NER”  ผู้ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายยางแผ่นรมควัน ยางแท่ง และยางผสม เพื่อจำหน่ายไปยังผู้ผลิตในอุตสาหกรรมยานยนต์ กลุ่มผู้ค้าคนกลาง ทั้งในและต่างประเทศ

ORI โชว์ Backlog แกร่ง 47,329 ล้านบาท รอรับรู้รายได้ต่อเนื่อง 5 ปี พร้อมเสนอขายหุ้นกู้ชุดใหม่ 10 – 11, 13 กุมภาพันธ์ 2568 นี้ให้แก่ผู้ลงทุนทั่วไป ชูอัตราดอกเบี้ยคงที่ 4.50 -5.15% ต่อปี

บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI พร้อมเสนอขายหุ้นกู้ให้แก่ผู้ลงทุนทั่วไปและผู้ลงทุนสถาบันจำนวน 3 รุ่นอัตราดอกเบี้ย 4.50 – 5.15% จ่ายดอกเบี้ยทุก 3 เดือนเสนอขายระหว่างวันที่ 10 – 11 และวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2568 ผ่าน 9 สถาบันการเงินได้แก่ธ.ซีไอเอ็มบีไทยบล. เอเซียพลัสบล. ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) บล.บลูเบลล์บล.โกลเบล็ก บล.ยูโอบีเคย์เฮียน บล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) บล.พาย และบล.เมอร์ชั่นพาร์ทเนอร์ พร้อมโชว์ Backlog ในมือ 47,329 ล้านบาท รอรับรู้สร้างรายได้ต่อเนื่อง 5 ปี เตรียมโอนกรรมสิทธิ์โครงการคอนโดก่อสร้างแล้วเสร็จใหม่ปี 2568 เพิ่มอีก 13 โครงการมูลค่าโครงการรวม 17,180 ล้านบาท มีแบ็คล็อกเฉลี่ยแล้วกว่า 70%

RELATED