รายงานการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ระบุว่า ผลกระทบจากวิกฤตการธนาคารของสหรัฐเมื่อหลายสัปดาห์ก่อน น่าจะฉุดเศรษฐกิจสหรัฐเข้าสู่ภาวะถดถอยในช่วงหลังของปีนี้
รายงานการประชุมของคณะกรรมการ FOMC ที่เปิดเผยในวันพุธ มีการสรุปสถานการณ์โดย จนท. เฟด ถึงผลกระทบที่อาจจะเกิดจากการล่มสลายของธนาคาร Silicon Valley Bank และสภาพปัญหาในภาคการเงินที่เริ่มในต้นเดือน มี.ค.
ถึงแม้รองประธานเฟด ไมเคิล บาร์ ที่รับผิดชอบงานด้านฝ่ายกำกับ จะกล่าวต่อที่ประชุมว่า ภาคธนาคาร “มีสภาพที่ดีและสามารถปรับตัวตามความจำเป็นได้” แต่นักเศรษฐศาสตร์ของเฟดเตือนในที่ประชุมว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะเผชิญกับผลกระทบที่จะตามมา
รายงานของที่ประชุม ระบุว่า “จากการประเมินผลกระทบด้านเศรษฐกิจที่เกิดจากสถานการณ์ในภาคธนาคารเมื่อไม่กี่วันนี้ จนท. เฟด คาดในต้นเดือน มี.ค. ว่า สหรัฐจะเริ่มก้าวเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยเล็กน้อยในช่วงหลังของปี 2023 ก่อนที่จะฟื้นตัวกลับมาในช่วง 2 ปีหลังจากนั้น”
การคาดการณ์ของเฟดหลังจากการประชุมของ FOMC ในครั้งนั้น ระบุว่า เฟดคาดว่า GDP สหรัฐจะขยายตัวเพียง 0.4% ในปี 2023 โดยสาขาของเฟดที่เมืองแอทแลนต้า ประเมินว่า เศรษฐกิจสหรัฐได้ขยายตัวเพียงประมาณ 2.2% ในไตรมาสแรกของปีนี้ ซึ่งเป็นสัญญาณที่ชี้ว่าเศรษฐกิจจะชะลอตัวลงต่อไปในช่วงหลังของปี 2023”
วิกฤตในภาคธนาคารทำให้ตลาดการเงินคาดกันว่า เฟดคงจะพักการปรับขึ้นดอกเบี้ย แต่ จนท. เฟด พูดย้ำในที่ประชุมว่าเฟดยังมีความจำเป็นที่จะต้องใช้มาตรการต่อไปในการสกัดเงินเฟ้อ
ในท้ายที่สุด ที่ประชุมในต้นเดือน มี.ค. มีมติให้ปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.25% ซึ่งเป็นการปรับขึ้นครั้งที่ 9 ในช่วงเวลา 12 เดือนที่ผ่านมา และทำให้อัตราดอกเบี้ยเฟดฟันด์เรทขึ้นไปอยู่ในช่วง 4.75-5.00% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปลายปี 2007