การที่สมาชิกหลายประเทศในกลุ่ม OPEC+ กำลังจะเริ่มลดการผลิตน้ำมันลงอีก 1.16 ล้านบาร์เรล/วัน ไปจนถึงสิ้นปีนี้ จะสร้างความยากลำบากให้กับธนาคารกลางของหลายประเทศในการต่อสู้กับปัญหาเงินเฟ้อ แต่การลดการผลิตเพิ่มเติมเช่นนี้จะไปเสริมกรอบกลยุทธ์การผลิตเดิมของกลุ่มเพื่อให้สามารถเผชิญกับแรงกดดันทางการเมืองได้ดีขึ้น
รัฐบาลสหรัฐที่กรุงวอชิงตันออกมาตำหนิประกาศของกลุ่ม OPEC+ ซึ่งมีสมาชิก 8 ประเทศ ที่แถลงว่าจะลดการผลิตเพิ่มเติมรวมกันกว่า 1 ล้านบาร์เรล/วัน โดยกลุ่มนี้มีซาอุดิอาระเบียเป็นผู้นำ และมีพันธมิตรสำคัญอย่างคูเวตและยูเออี โดยปริมาณน้ำมันที่จะผลิตลดลงตามการริเริ่มของแต่ละประเทศสมาชิกเอง ซึ่งถือเป็นส่วนที่อยู่นอกเหนือไปจากนโยบายการผลิตเดิมของกลุ่ม OPEC+
การลดการผลิตเพิ่มเติมของกลุ่ม OPEC+ จะไปเพิ่มส่วนที่เป็นความตั้งใจของรัสเซียในปัจจุบันที่จะลดการผลิตของตนลง 500,000 บาร์เรล/วัน จากระดับที่ทำฐไว้ในเดือน ก.พ. โดยรัสเซียจะลดการผลิตลงไปจนถึงสิ้นปีนี้ ซึ่งจะทำให้ปริมาณน้ำมันที่จะผลิตลดลงของกลุ่ม OPEC+ และของรัสเซียมีรวมกันทั้งสิ้นกว่า 1.6 ล้านบาร์เรล/วัน
โฆษกคนหนึ่งของสภาความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐ กล่าวว่า “เราไม่คิดว่าการลดการผลิตของกลุ่มนี้ในช่วงนี้จะเป็นสิ่งที่เหมาะสม ถ้าพิจารณาถึงความไม่ชัดเจนของภาพแนวโน้มตลาด ซึ่งเราได้แสดงจุดยืนที่ชัดเจนของเราไปแล้ว”
รัฐบาลของ ปธน. โจ ไบเดน ได้ตำหนิกลุ่ม OPEC+ เรื่องการลดการผลิตมาแล้วบ่อยครั้ง โดยชี้ถึงผลกระทบด้านเงินเฟ้อที่จะมีต่อภาคครัวเรือน พร้อมกับกล่าวหาประเทศที่ทำตัวใกล้ชิดกับรัสเซียที่กำลังถูกนานาชาติคว่ำบาตร
ผลของการลดการผลิตคือมันจะลดอุปทานน้ำมันในตลาดโลก ทำให้ราคาน้ำมันที่สถานีจำหน่ายน้ำมันของประเทศที่ต้องนำเข้าน้ำมันมีราคาแพงขึ้น ซึ่งท้ายที่สุดจะนำไปสู่ตัวเลขเงินเฟ้อของประเทศต่างๆ ที่จะสูงขึ้น