ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่ปีที่ 50 ชวนมาจับเข่าคุยเล่าความหลัง ย้อนกลับไปเมื่อปี 2534 ครั้งเมื่อปริมาณการซื้อขายของตลาดหุ้นไทยเติบโตอย่างก้าวกระโดด เกินกว่าระบบ manual อย่างการเคาะกระดานจะรับมือไหว จึงนำมาสู่อีกหนึ่งจุดเปลี่ยนสำคัญของประวัติศาสตร์ตลาดหุ้นไทย คือการเปลี่ยนวิธีการซื้อขายหลักทรัพย์มาสู่ระบบการซื้อขายด้วยคอมพิวเตอร์ที่ทันสมัยในขณะนั้น
ยุคปาลูกดอก
บรรยง พงษ์พานิช ประธานกรรมการบริหาร ธนาคารเกียรตินาคินภัทร หรือ พี่เตาของสื่อมวลชน เริ่มงานแรกหลังเรียนจบจากคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาฯ เมื่อปี 2520 กับบริษัทหลักทรัพย์ภัทร โบรกเกอร์หมายเลข 6 ในยุคห้องค้าเคาะกระดานที่ศูนย์การค้าสยาม
ด้วยคุณสมบัติ “ตัวใหญ่ วิ่งชน พร้อมชก” อดีตนักรักบี้ทีมชาติ ทำให้ได้เปรียบในการเบียดเข้าไปส่งคำสั่งซื้อขายหน้ากระดาน ในยุคที่เรียกกันว่า “ปาลูกดอก” ไม่ว่าลงทุนหุ้นตัวไหน ราคาก็พร้อมวิ่งขึ้นทันที คนไทยเริ่มรู้จัก เข้าใจ และหันมาลงทุนในหุ้นมากขึ้น หลังตลาดหลักทรัพย์ฯเปิดทำการมาได้ 2 ปี (ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเริ่มซื้อขายครั้งแรกเมื่อ 30 เม.ย. 2518)
บรรยากาศในห้องค้าเป็นไปอย่างคึกคัก เสียงเคาะกระดาน เสียงโทรศัพท์ ดังไม่ขาดสาย พร้อม ๆ กับการพูดคุย ต่อรองราคา ของตัวแทนจากโบรกเกอร์ทั้ง 30 บริษัท รวมประมาณ 180 คน ทุกอย่างเกิดขึ้นในช่วงเช้า ส่วนในช่วงบ่ายเป็นเรื่องของการทำงานเอกสารยืนยันการซื้อขาย และการจัดการระบบต่าง ๆ หลังการซื้อขาย ทุกอย่างทำด้วยสองมือของแรงงานคน
โลกาภิวัตน์…เปลี่ยนโลกการลงทุน
พี่เตายังบอกด้วยว่า เจตนารมณ์แรกเริ่มของการจัดตั้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ตามวิสัยทัศน์ของ “เทคโนแครต” หรือ กลุ่มบุคคลที่มีส่วนสำคัญในการกำหนดนโยบายสาธารณะในยุคนั้น คือเพื่อให้เป็นอีกหนึ่งเสาหลักเศรษฐกิจ ในการขับเคลื่อนการเติบโตและเป็นแหล่งลงทุนให้กับประเทศ ซึ่งในช่วงแรก การระดมทุนและการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ถือเป็นเรื่องใหม่ ที่ยังไม่เป็นที่รู้จัก ต้องมีการวางรากฐาน ให้ความรู้กับคนทั่วไป
เมื่อเข้าสู่ช่วงปลายปี 2520 ภาคธุรกิจและนักลงทุนเริ่มเข้าใจการระดมทุนและการลงทุนผ่านตลาดหลักทรัพย์ฯ มากขึ้น อย่างไรก็ตาม การซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหุ้นไทยก็เหมือนกับตลาดหุ้นอื่น ๆ ทั่วโลกที่ดัชนีหุ้นมีขึ้นและลงตามปัจจัยต่าง ๆ ที่เข้ามากระทบ ทั้งเรื่องของปัจจัยจากทั้งในและต่างประเทศ ตลอดจนการเก็งกำไร
ปี 2522 – 2529 เป็นช่วงที่ตลาดหุ้นไทยซบเซาอย่างหนัก ด้วยจุดเริ่มต้นจากวิกฤติหนี้เสียของบริษัท “ราชาเงินทุน” ส่งผลต่อภาวะการซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นอย่างมากและส่งผลต่อเนื่องระยะยาว ห้องค้าที่เคยคึกคักกลับเงียบเหงา มูลค่าการซื้อขายวันที่น้อยที่สุดเหลือเพียง 3 ล้านบาทเท่านั้น
ปี 2530 – 2532 เป็นช่วงที่กระแสโลกาภิวัตน์ เริ่มแพร่หลาย กิจกรรมทางเศรษฐกิจ การค้าการลงทุนขยายตัวอย่างกว้างขวางทั่วโลก คำว่า Emerging Market (ตลาดเกิดใหม่) ถือกำเนิดขึ้น เงินทุนจากประเทศพัฒนาแล้วในฝั่งตะวันตก เริ่มแสวงหาโอกาสการลงทุนในฝั่งตะวันออกในประเทศที่มีพื้นฐานดี มีศักยภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจ
การลงทุนในตลาดหุ้นไทยเริ่มกลับมาบูมอีกครั้ง ระบบการซื้อขายแบบเคาะกระดานเริ่มรับไม่ไหว เกิดการเปลี่ยนแปลงไปสู่ระบบคอมพิวเตอร์
เงินทุนต่างชาติไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นไทย
จากประสบการณ์ทำงาน 47 ปีในตลาดทุนไทย ตั้งแต่เป็นเพียงแค่พนักงานชั้นผู้น้อยจนเป็นผู้บริหารสูงสุดขององค์กร ที่เชี่ยวชาญด้านการชักชวนนักลงทุนต่างชาติให้เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทย พี่เตามองว่านักลงทุนสถาบันในต่างประเทศ ต้องการความโปร่งใส กฎระเบียบที่ชัดเจน เงินทุนต่างชาติมีส่วนสำคัญที่ช่วยให้ตลาดหุ้นไทยฟื้นกลับมาได้หลายต่อหลายครั้งเมื่อต้องเผชิญกับวิกฤติต่าง ๆ
บริษัทจดทะเบียนไทยต้องทำธุรกิจอย่างมีบรรษัทภิบาล นักวิเคราะห์ต้องทำบทวิเคราะห์ที่มีศักยภาพ รวมไปถึงภาครัฐและหน่วยงานกำกับดูแลที่ต้องกำหนดนโยบาย ออกกฎหมาย ปรับระบบ ให้เท่าทันเทคโนโลยีและความเปลี่ยนแปลง เพื่อให้ตลาดหุ้นไทยมีความเป็นสากล
“เงินลงทุนจากต่างชาติที่ไหลเข้ามาในไทยเป็นเม็ดเงินที่มีคุณภาพ เป็นเงินลงทุนในระยะยาว กดดันให้บริษัทจดทะเบียนไทยต้องพัฒนา ตลาดไทยก็ต้องพัฒนาให้สามารถแข่งขันได้ ต้องแข่งกับโลก ไม่มีตลาดทุนไทย มีแต่ตลาดทุนโลก โลกมันเชื่อมกันหมดแล้ว มองประเทศไทยแบบแยกส่วนไม่ได้อีกต่อไป ” พี่เตากล่าว
ระบบการซื้อขายของไทยก้าวหน้าที่สุดในขณะนั้น
สมคิด จิรานันตรัตน์ ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีดิจิทัล อดีตประธาน Kasikorn Business Technology Group (KBTG) ซึ่งในสมัยนั้นดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายระบบงานภายใน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการเปลี่ยนผ่านการซื้อขายหลักทรัพย์สู่ระบบคอมพิวเตอร์ เล่าว่า ก่อนที่จะเปลี่ยนมาใช้คอมพิวเตอร์ ในขณะนั้นมูลค่าการซื้อขายด้วยการเคาะกระดานบางวันสูงถึง 3,000 – 4,000 ล้านบาท จนทำให้เทรดเดอร์ในห้องค้า ที่อาคารสินธร ถึงกับเป็นลมกันมาแล้ว
แม้สมคิดจะมีความเชี่ยวชาญจากการทำงานกับบริษัทวางระบบคอมพิวเตอร์เป็นพื้นฐาน แต่ในตอนที่เริ่มเข้ามาทำงานกับตลาดหลักทรัพย์ฯ นั้น ไม่เคยรู้เรื่องหุ้นมาก่อน ต้องมาเริ่มต้นทำความเข้าใจใหม่ทั้งหมด ต้องใช้เวลาอยู่นานในการวางระบบใหม่ ทั้งเรื่องของวิธีคิด ทรัพยากรบุคคล ตลอดจนงบประมาณในการลงทุน เป็นการทำงานที่ต้องค่อย ๆ ปรับอย่างต่อเนื่องอยู่นานหลายปี ทั้งก่อนและหลังการใช้ระบบคอมพิวเตอร์ในปี 2534
ระบบการซื้อขายด้วยคอมพิวเตอร์ที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ นำมาใช้ เป็นระบบของตลาดหลักทรัพย์ชิคาโก้ (Chicago Stock Exchange) ที่ทันสมัยอย่างมากจนอาจเรียกได้ว่า ก้าวหน้าที่สุดในโลก ณ ขณะนั้น สามารถจับคู่การซื้อขายได้อย่างรวดเร็ว แม่นยำ ระบบความจำและการเก็บข้อมูลมีประสิทธิภาพ ทำงานที่ซับซ้อนได้ โดยไม่จำเป็นต้องลงทุนกับเครื่องที่มีขนาดใหญ่
เปลี่ยนระบบการซื้อขาย พลิกโฉมตลาดทุนไทย
ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ไม่ได้เป็นเพียงแค่การเปลี่ยนแปลงระบบการซื้อขายเท่านั้น แต่ยังทำให้เกิดการพัฒนาในด้านต่าง ๆ ของตลาดทุนไทยไปพร้อม ๆ กัน เพื่อรองรับการลงทุนยุคใหม่ให้ทันสมัยมากขึ้น ไม่จำเป็นต้องมีห้องค้าหลักทรัพย์อีกต่อไป เพราะการซื้อขายเกิดขึ้นในคอมพิวเตอร์
นอกจากนี้ ยังมีการออกกฎหมายอย่าง พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 ควบคู่ไปกับการจัดตั้งหน่วยงานอย่าง สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ขึ้นมาเป็นการเฉพาะ
ทั้งยังมีการเปลี่ยนผ่านไปสู่ Scripless System (ระบบไร้ใบหุ้น) ที่นำไปสู่การจัดตั้งบริษัท ศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ (ประเทศไทย) จำกัด
ผ่านมา 33 ปี ระบบการซื้อขายยังคงได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องสู่ยุคดิจิทัล ทุกอย่างเกิดขึ้นแบบ Real Time มีการใช้ระบบ AI มาช่วยในการวิเคราะห์การลงทุน สมคิดยังให้ข้อคิดทิ้งท้ายว่า การเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเสมอ ที่สำคัญคือต้องรู้จักปรับตัว
“อย่ากลัวสิ่งที่เปลี่ยนแปลง สิ่งสำคัญต้องเรียนรู้ด้วยตัวเองไม่ว่าจะยุคไหน การรู้จักศึกษาด้วยตัวเองเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ทั้งการ Retraining และ Reskill” สมคิดกล่าว
ในขณะที่พี่เตาเสริมว่าเห็นด้วยกับสิ่งที่คุณสมคิดกล่าวอย่างมากว่า ‘อย่ากลัวการเปลี่ยนแปลง’ ดังนั้น ประสิทธิภาพของตลาดหลักทรัพย์ฯ จึงสำคัญมาก เพราะตลาดหลักทรัพย์ฯ ต้องเปลี่ยนแปลงไปตามนวัตกรรมของโลกและคนรุ่นใหม่จึงต้องตามการเปลี่ยนแปลงให้ทัน
นอกจากนี้ บรรยงยังมองว่าผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับตลาดทุนไทย 5 กลุ่ม คือ (1) เจ้าของเงินหรือนักลงทุน (2) บริษัทจดทะเบียน (3) ตัวกลางหรือบริษัทหลักทรัพย์ (4) กลุ่ม Facilitator เช่น ตลาดหลักทรัพย์ฯ (5) Regulator หรือหน่วยงานของรัฐผู้ออกกฎ ทั้ง 5 กลุ่มต้องทำงานร่วมกัน อาศัยกันและกัน ตรวจสอบกัน จึงจะทำให้ตลาดหุ้นไทยมีประสิทธิภาพ
“ต้องขอชมว่า ที่ผ่านมา ทั้ง 5 กลุ่มโดยส่วนใหญ่ ล้วนมีพัฒนาการดี แม้จะยังไม่ Perfect เมื่อเทียบกับตลาดเกิดใหม่ทั้งหลาย แต่สำหรับตลาดทุนไทยของเราถือว่าค่อนข้างดี” เป็นคำชมที่บรรยงฝากไว้ในงานเสวนา.
ถอดความจากงาน PLearn Talk & TOUR เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2567 ณ พิพิธภัณฑ์เรียนรู้การลงทุน INVESTORY
PLearn Talk & TOUR: กิจกรรมที่จัดขึ้นเป็นประจำปีโดยตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อให้ความรู้และเสริมสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับการวางแผนการเงินและการลงทุน ผ่านการเสวนาและการเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์เรียนรู้การลงทุน INVESTORY
ติดตามข้อมูลข่าวสารและกิจกรรมที่น่าสนใจเพิ่มเติมได้ที่ พิพิธภัณฑ์เรียนรู้การลงทุน INVESTORY https://investory.setgroup.or.th/
#SETthailand #SET50thAnniverasary #MakeitWorkforEveryFuture #50ปีตลาดหลักทรัพย์ #INVESTORY #PLearnTalk&TOUR #ห้องสมุดมารวย #บรรยง #เคาะกระดาน