SCBAM เปิดตัว 3 กองทุนใหม่ Thai ESG พร้อมสิทธิลดหย่อนภาษีเพิ่ม

นาง นันท์มนัส เปี่ยมทิพย์มนัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร การลงทุนบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนไทยพาณิชย์ จำกัด หรือ SCBAM เปิดเผยว่า ทั่วโลกกำลังให้ความสำคัญกับการลงทุนเพื่อความยั่งยืน โดยมุ่งเน้นปัจจัยการเติบโตของธุรกิจที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และหลักธรรมาภิบาล (ESG) โดย SCBAM ได้นำแนวทางการลงทุนอย่างยั่งยืนมาเป็นส่วนสำคัญในการตัดสินใจลงทุนมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อโอกาสในการสร้างผลตอบแทนอย่างมีเสถียรภาพในระยะยาวให้กับผู้ลงทุน และในปีนี้ นับเป็นโอกาสดีอย่างยิ่งที่รัฐบาลได้สนับสนุนให้มีการจัดตั้งกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (Thai ESG) เพื่อส่งเสริมให้คนไทยออมเงินระยะยาว และสร้างโอกาสเติบโตจากการออมที่ยั่งยืนไปพร้อมกับธุรกิจไทยที่บริหารด้วยแนวคิด ESG พร้อมให้สิทธิลดหย่อนภาษีเพิ่มเติม 30% ของรายได้ หรือไม่เกิน 1 แสนบาท ซึ่งเป็นสิทธิวงเงินลดหย่อนที่แยกจากวงเงินของกองทุน SSF – RMF และกองทุนเพื่อการออมอื่นๆ   กองทุนนี้มีกำหนดระยะเวลาการลงทุน 8 ปีแบบวันชนวัน   

ในโอกาสนี้ SCBAM จึงเปิดเสนอขายกองทุน Thai ESG พร้อมกัน 3 กองทุน 3 สไตล์ ครอบคลุมนโยบายการลงทุนทั้งกองทุนผสม กองทุนหุ้น Active และกองทุนหุ้น Passive ตอบโจทย์ครบทุกความต้องการของนักลงทุน โดยมีกำหนดระยะเวลา IPO ตั้งแต่วันที่ 8 – 15 ธันวาคม 2566 และสามารถลงทุนต่อเนื่องหลังจากช่วง IPO ได้ทันที เพื่อให้ผู้ลงทุนสามารถนำการลงทุนนี้ไปประกอบการใช้สิทธิลดหย่อนภาษีปี 2566 ได้ พร้อมกันนี้  SCBAM ขอมอบของขวัญพิเศษส่งท้ายปีกับแคมเปญโปรโมชันพิเศษรับ Fund Back สูงสุด 200 บาท เมื่อลงทุนตั้งแต่วันที่ 8 – 28 ธันวาคม 2566 นี้เท่านั้น

สำหรับกองทุน Thai ESG เป็นหนึ่งในกลุ่มกองทุนรวมเพื่อความยั่งยืน (Sustainable & Responsible Investing Fund หรือ SRI Fund) เน้นลงทุนในหลักทรัพย์ของบริษัทไทยที่ให้ความสำคัญต่อปัจจัยด้านการเติบโตของธุรกิจที่เน้นความยั่งยืนเป็นหลัก โดย SCBAM มีกองทุนรวมชนิดไทยเพื่อความยั่งยืน (กองทุน Thai ESG)ให้เลือกถึง 3 กองทุน และในแต่ละกองทุนสามารถเลือกลงทุนได้ทั้งแบบชนิดสะสมมูลค่า และชนิดจ่ายปันผล ได้แก่

1) เน้นบาลานซ์สไตล์ผสมกับ SCBTM (ThaiESG) หรือกองทุนเปิดไทยพาณิชย์ไทยผสมยั่งยืน (ชนิดไทยเพื่อความยั่งยืน) ที่เป็นกองทุนชนิดจ่ายเงินปันผลและ SCBTM (ThaiESGA) หรือกองทุนเปิดไทยพาณิชย์ไทยผสมยั่งยืน (ชนิดไทยเพื่อความยั่งยืนแบบสะสมมูลค่า) ที่เป็นกองทุนชนิดสะสมมูลค่าเน้นลงทุนแบบผสมยืดหยุ่น 0-100 % ในหุ้นและตราสารหนี้ของบริษัทจดทะเบียนของตลาดหลักทรัพย์ไทยที่มีความโดดเด่นทางด้านสิ่งแวดล้อม หรือด้านความยั่งยืน (Environment, Social and Governance: ESG) 

2) ลุยเต็มที่สไตล์ Active กับ SCBTA (ThaiESG) หรือกองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นไทยยั่งยืนแอคทีฟ (ชนิดไทยเพื่อความยั่งยืน) ที่เป็นกองทุนชนิดจ่ายเงินปันผลและ SCBTA(ThaiESGA) หรือกองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นไทยยั่งยืนแอคทีฟ (ชนิดไทยเพื่อความยั่งยืนแบบสะสมมูลค่า) ที่เป็นกองทุนชนิดสะสมมูลค่า เน้นลงทุนในหุ้นไทยหลากหลายอุตสาหกรรมที่มีความโดดเด่นด้านการดำเนินธุรกิจตามหลักเกณฑ์ ESG มีแนวโน้มขยายตัวทางธุรกิจที่ดีในระยะยาว และมีมูลค่าพื้นฐานน่าสนใจ

3) เน้นเกาะตลาดสไตล์ Passive กับ SCBTP (ThaiESG) หรือกองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นไทยยั่งยืนพาสซีฟ (ชนิดไทยเพื่อความยั่งยืน) ที่เป็นกองทุนชนิดจ่ายเงินปันผลและ SCBTP (ThaiESGA) หรือกองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นไทยยั่งยืนพาสซีฟ (ชนิดไทยเพื่อความยั่งยืนแบบสะสมมูลค่า) ที่เป็นกองทุนชนิดสะสมมูลค่าเน้นลงทุนในหุ้นไทยที่เป็นส่วนประกอบของดัชนี SET ESG Total Return โดยทำการคัดเลือกหุ้น และใช้กลยุทธ์แบบ Optimization ปรับสัดส่วนการลงทุน มุ่งสร้างผลตอบแทนของกองทุนให้ใกล้เคียงกับดัชนีอ้างอิงมากที่สุด

นางนันท์มนัส กล่าวเพิ่มเติมว่า “จากการที่ภาครัฐไทยมีเป้าหมายสร้างการขับเคลื่อนประเทศไทยให้เดินหน้าสู่ความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมและเปลี่ยนเป็นสังคมคาร์บอนต่ำ พร้อมหนุนกลยุทธ์การลงทุนเศรษฐกิจสีเขียว (Thailand Green Taxonomy) ประกอบกับความโดดเด่นในการบริหารจัดการกองทุนด้านความยั่งยืน ของ SCBAM ที่ส่งผลให้ SCBAM เป็นบริษัทจัดการกองทุนรายแรกที่ได้รับรางวัล Best Asset Management Award ด้าน ESG จากงานประกาศรางวัล SET Award 2022 จัดโดย ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ทำให้ SCBAM ตั้งใจพัฒนากองทุน Thai ESG ออกมาในรูปแบบการลงทุนที่หลากหลาย บริหารโดยทีมผู้จัดการกองทุนที่มีประสบการณ์ การันตีด้วยหลากหลายกองทุนคุณภาพติดดาว เพื่อเป็นทางเลือกต่อการสร้างโอกาสการลงทุนที่เติบโตอย่างยั่งยืนจากกลุ่มธุรกิจสีเขียวในตลาดหุ้นไทย

ทั้งนี้ SCBAM มีความเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจไทยจะมีแนวโน้มฟื้นตัวขึ้นได้ในระยะข้างหน้า สวนทางกับเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลง และคาดว่า GDP Growth ของไทยในปีหน้า จะมีโอกาสเร่งตัวขึ้นเป็น 2.7 – 3.7% ได้ โดยมีปัจจัยสนับสนุนจาก (1) การกลับมาขยายตัวของการส่งออก (2) การขยายตัวของการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน (3) การฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของภาคท่องเที่ยว จึงประเมินว่า EPS ของ SET Index จะกลับมาฟื้นตัวขึ้นได้อีกครั้ง นับเป็นโอกาสเข้าลงทุนสะสม เพื่อโอกาสสร้างความมั่งคั่งทางการเงินในระยะยาว พร้อมหนุนการขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจไทยและสังคมไทยให้ก้าวไปสู่ความยั่งยืนมากขึ้นต่อไป

LATEST NEWS

GULF-INTUCH ประกาศควบรวมกิจการ เล็งตั้งบริษัทใหม่ไตรมาส 2 ปีหน้า

บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (GULF) และบริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) (INTUCH) ประกาศควบรวมกิจการ เพื่อเป็นการปรับโครงสร้างของบริษัทที่เกี่ยวข้องให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อการดำเนินการในการบริหารจัดการและการลงทุนในอนาคต รวมทั้งเพื่อลดความซ้ำซ้อนของโครงสร้างการถือหุ้นและต่อยอดโอกาสเติบโตในธุรกิจพลังงาน & โครงสร้างพื้นฐาน และธุรกิจดิจิทัล

InnovestX จับกลุ่ม Ultra High Net Worth ลุยตลาด Private Fund อย่างต่อเนื่องดันฐานลูกค้าโตกว่า 900%

InnovestX จับกลุ่ม Ultra High Net Worth ลุยตลาด Private Fund อย่างต่อเนื่องดันฐานลูกค้าโตกว่า 900% สร้างผลประกอบการชนะทุกตลาดที่เข้าลงทุนในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา 

RELATED