THRE โชว์กำไร Q4/66 โตต่อเนื่องแตะ 99 ลบ.ทั้งปี 66 กำไรสุทธิ 231 ลบ. พุ่ง 219% ตั้งเป้าปี 67 เบี้ยประกันภัยต่อรับโตไม่ต่ำกว่า 10% ทะลุ 5 พันลบ.

THRE โชว์ผลประกอบการไตรมาส 4/66 เติบโตต่อเนื่องทำกำไรสุทธิ 99 ล้านบาท ผลงานปี 66 กำไรสุทธิพุ่ง 219% แตะ 231 ล้านบาท ทำกำไรเติบโตต่อเนื่องมาตั้งแต่ต้นปี สอดรับกับการปรับกลุยทธ์บริษัทหลังสถานการณ์ COVID-19 คลี่คลายพร้อมลมส่งอัตราเบี้ยประกันภัยต่ออยู่ในช่วงขาขึ้น (Hard Market) ส่งผลให้ธุรกิจโตแรงทั้งในไทย-ต่างประเทศวางกลยุทธ์ปี 2567 ผลักดันธุรกิจกลุ่ม Non-Conventional ลุยขยายธุรกิจเพิ่มในประเทศอินโดนีเซียตั้งเป้าเบี้ยประกันภัยยังคงเติบโตต่อเนื่องไม่ต่ำกว่า 10% แตะระดับ 5,000 ล้านบาท

นายโอฬาร วงศ์สุรพิเชษฐ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยรับประกันภัยต่อ จำกัด (มหาชน) หรือ THRE ผู้ให้บริการด้านการรับประกันภัยต่อ (Professional Reinsurer) ครอบคลุมทั้งการรับประกันภัยทรัพย์สิน อุบัติเหตุ วิศวกรรม ภัยทางทะเลและการขนส่งสินค้าต่างประเทศ เปิดเผยถึงผลประกอบการทั้งปี 2566 ว่ามีรายได้เบี้ยประกันภัยต่อรับสุทธิ 4,654 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 798 ล้านบาท นับเป็นการเติบโต 21% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีรายได้เบี้ยประกันภัยต่อรับสุทธิอยู่ที่ 3,856 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 231 ล้านบาท พลิกฟื้นทำกำไรจากช่วงเดียวกันปีก่อน ที่ขาดทุนสุทธิ 194 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นสูงถึง 219%

โดยผลประกอบการในปี 2566 นั้น บริษัทสามารถทำรายได้และกำไรเติบโตโดดเด่นได้อย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่เริ่มต้นปี ซึ่งมีปัจจัยสนับสนุนจากการขยายตัวทั้งในส่วนงาน Personal line และ Commercial line ที่ขยายเนื่องจากการปรับกลยุทธ์ของบริษัทหลังสถานการณ์ COVID-19 คลี่คลาย และตลาดประกันภัยต่อโดยรวมยังอยู่ในสภาวะ Hard Market ที่อัตราเบี้ยประกันภัยต่อรับอยู่ในช่วงขาขึ้น ส่งผลให้บริษัทสามารถขยายตลาดได้ทั้งในไทยและต่างประเทศ โดย Combined Ratio ของบริษัทในปี 2566 ที่ผ่านมาอยู่ที่ 96.8% ปรับตัวจากปีก่อนที่ทำไว้ที่ 108.3%

นอกจากนี้ ธุรกิจประกันภัยต่อที่ดำเนินการในตลาดต่างประเทศก็มีการเติบโตอย่างโดดเด่น สอดคล้องตามกลยุทธ์การมุ่งเน้นขยายธุรกิจไปยังประเทศเพื่อนบ้าน อาทิ กัมพูชา เวียดนาม และฟิลิปปินส์ และในปี 2566 เบี้ยประกันภัยต่อรับของลูกค้าต่างประเทศอยู่ที่ระดับ 193 ล้านบาท นับเป็นการเติบโตสูงถึง 184% โดยปัจจุบันสัดส่วนเบี้ยประกันภัยต่อรับจากลูกค้าต่างประเทศอยู่ที่ 4% ของพอร์ตเบี้ยประกันภัยต่อรับรวม และคาดว่าสัดส่วนดังกล่าวจะโตขึ้นเป็น 8% หรือสองเท่าตัวในอีก 2-3 ปีข้างหน้า

นายโอฬารกล่าวต่อว่า ภายใต้สถานการณ์อัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูง ประกอบสภาวะความผันผวนสูงของตลาดทุนในช่วงปีที่ผ่านมา บริษัทปรับกลยุทธ์การลงทุนด้วยการเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในสัดส่วน 70% ของพอร์ตการลงทุนทั้งหมด ในเงินฝากและพันธบัตร ซึ่งในปี 2566 บริษัทสามารถทำรายได้เงินลงทุนสุทธิ 64 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20 ล้านบาท หรือ เติบโต 45% จากปีก่อนที่ทำไว้ 44 ล้านบาท และสามารถทำอัตราผลตอบแทนจากการลงทุนที่ระดับ 2.5% ซึ่งอยู่ในระดับที่น่าพอใจ โดยบริษัทยังคงติดตามการเคลื่อนไหวของตลาดทุนอย่างใกล้ชิด เพื่อหาโอกาสเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในตลาดทุน และคาดว่าจะสามารถทำผลตอบแทนจากการลงทุนเพิ่มขึ้นได้ในปี  2567 นี้

ในขณะเดียวกัน บริษัท บลูเวนเจอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ BVG ซึ่งเป็นบริษัทลูก ยังมีผลประกอบการปีที่ผ่านมาเติบโตโดดเด่น จากการปริมาณการใช้งานระบบและฐานลูกค้าที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องหลังสถานการณ์ COVID-19 คลี่คลาย ทั้งในส่วนของการให้บริการสินไหมทดแทนสำหรับรถยนต์และประกันสุขภาพ รวมถึงการใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) สำหรับการให้บริการสินไหมทดแทนสำหรับรถยนต์ โดยในปี 2567นี้ BVG มีแผนเตรียมเดินหน้าโปรเจกต์ใหม่ๆ ควบคู่กับการขยายตลาดไปในภูมิภาคอาเซียน รวมถึงการบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะช่วยต่อยอดความแข็งแกร่งและสร้างผลตอบแทนที่ดีต่อ THRE ได้อย่างยั่งยืนในอนาคต

“บริษัทวางเป้าหมายเบี้ยประกันภัยต่อรับสุทธิปี 67 เติบโตไม่ต่ำกว่า 10% จากลมส่งตลาด Hard Market ที่อัตราเบี้ยประภัยต่อที่ยังคงอยู่ในระดับสูงต่อเนื่องมาจากปีที่แล้ว การพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ที่สอดคล้องตามความต้องการลูกค้าในหลากหลายรูปแบบ การมุ่งเน้นขยายการเติบโตของธุรกิจกลุ่ม Non-Conventional และการขยายฐานลูกค้าเข้าไปสู่ตลาดใหม่อย่างประเทศอินโดนีเซีย โดยจะพยายามรักษา Combine Ratio ไว้ที่ประมาณ 94-96%” นายโอฬาร กล่าว

นายโอฬาร กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับผลประกอบการไตรมาส 4/66 นั้น บริษัทมีรายได้เบี้ยประกันภัยต่อรับสุทธิ 1,140 ล้านบาท เติบโต 23% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 99 ล้านบาท เติบโต 209% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และยังคงทำกำไรอย่างต่อเนื่องจากไตรมาส 3/66 ที่มีกำไรสุทธิ 56 ล้านบาท จากการขยายตัวของธุรกิจทั้งในส่วนของ Personal line และ Commercial line และสภาวะอัตราเบี้ยประกันภัยต่อรับในช่วงขาขึ้น ทำให้สามารถขยายตลาดได้ทั้งในไทยและต่างประเทศ โดยสามารถรักษา combine ratio ไว้ได้ที่ 95.6% ตามเป้าหมายที่วางไว้

LATEST NEWS

“Smarthome” สมาร์ทโฮมยืนหนึ่งเครื่องใช้ไฟฟ้าสำหรับทุกครอบครัว

เมื่อพูดถึงแแบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน เชื่อว่าใครหลายๆ คน คงจะนึกถึงแบรนด์ “Smarthome” เป็น 1 ในคำตอบในใจอย่างแน่นอน ด้วยจุดเด่นของสินค้าที่แข็งแรง ทนทาน ดีไซน์ทันสมัยและราคาที่สามารถเข้าถึงได้ วันนี้เราจะมาทำความรู้จักกับแบรนด์ “Smarthome” กันให้มากยิ่งขึ้น

บิ๊กดีลสะเทือนวงการ! กรุงศรีฟินโนเวตจับมืออีฟราสตรัคเจอร์ เปิดฉากลงทุนมหาศาลปั้นกองทุนใหม่หนุนสตาร์ทอัพรายเล็กก้าวกระโดด พร้อมเปิด Accelerator ติดอาวุธเร่งสปีดสร้างการเติบโต

กรุงศรี ฟินโนเวต ร่วมกับ อีฟราสตรัคเจอร์ (Efra Structure) ของ ป้อม ภาวุธ ผู้บุกเบิกและคร่ำหวอดในวงการอีคอมเมิร์ซไทย เตรียมปั้นกองทุนยักษ์ “ฟินโน อีฟรา ไพรเวท อิควิตตี้ ทรัสต์” (Finno Efra Private Equity Trust) มุ่งลงทุนในสตาร์ทอัพไทยและอาเซียน งบประมาณมหาศาลกว่า 1,300 ล้านบาท (หรือกว่า 35 ล้านเหรียญสหรัฐ) ภายในระยะเวลา 4 ปี เผยเริ่มพูดคุยกับสตาร์ทอัพที่น่าสนใจแล้วราว 5-6 บริษัท พ่วงด้วยการเปิด Accelerator Program อย่างเป็นทางการ เพื่อปั้นสตาร์ทอัพระดับ Seed ถึง Pre-series A ให้เติบโตสู่ระดับ Series A ได้อย่างแข็งแกร่ง

SCB CIO มองตลาดหุ้นทั่วโลกผันผวน เมื่อเข้าสู่โค้งสุดท้ายเลือกตั้งสหรัฐฯ พอร์ตหลักแนะหุ้นกลุ่มเทคฯ-สุขภาพ- สาธารณูปโภค-ทองคำ ส่วนพอร์ตเสริมสะสมเวียดนาม

SCB CIO มองตลาดหุ้นโลกจะมีความผันผวนเพิ่มขึ้นเมื่อเข้าสู่โค้งสุดท้ายของการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ จากสถิติชี้ว่า ดัชนี VIX  จะเร่งตัวขึ้นเมื่อเข้าสู่ช่วง 4 เดือนสุดท้ายก่อนการเลือกตั้ง ขณะที่สถิติในอดีตบ่งชี้ดัชนี S&P500 มีแนวโน้มชะลอตัวในช่วงเดือนส.ค.- ก.ย. แนะกลยุทธ์ลงทุนในตลาดหุ้นเลือกหุ้นคุณภาพดีเติบโตสูงงบแข็งแกร่งยอดขายกำไรเติบโตยั่งยืนเช่นกลุ่มเทคโนโลยีพร้อมผสมผสานกับหุ้นกลุ่มที่มีความทนทานต่อภาวะตลาดผันผวนเช่นกลุ่มสาธารณูปโภค  สุขภาพและสินค้าจำเป็น พร้อมระวังลงทุนในหุ้นกลุ่มขนาดเล็กจากกำไรของกิจการของหุ้นขนาดเล็กค่อนข้างผันผวนและอิงกับเศรษฐกิจสหรัฐฯเป็นหลักซึ่งอาจได้รับผลกระทบจากการที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังเข้าสู่ช่วงของการชะลอตัวลง สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ปานกลาง-สูง แนะลงทุนหุ้นเวียดนามจากดัชนีฯที่ได้แรงหนุนจากเศรษฐกิจที่เติบโตต่อเนื่อง

RELATED