THREL ปักธงเบี้ยประกันภัยรับปี 67 โต 4-5% เร่งเดินกลยุทธ์ “ซ่อม-สร้าง” รับมือ “เคลม” ส่อน่ากังวล กางผลงาน 1Q24 เบี้ยรับโตเฉียด 800 ลบ.

THREL ปักธงเบี้ยประกันภัยต่อรับปี 67 โต 4-5% ทะลุ 3,500 ล้านบาท เร่งเดินกลยุทธ์ “ซ่อม-สร้าง” เสริมแกร่ง ยอมรับภาพรวมอุตสาหกรรมประกันชีวิตยังมีหลายปัจจัยต้องจับตา “ค่าเคลมสินไหม-เงินเฟ้อค่ารักษาพุ่ง” ส่อเค้าน่ากังวล กางผลงานงวดแรกไตรมาส 1/67 เบี้ยประกันภัยต่อรับโต 18% เฉียด 800 ล้านบาท 

นายวิพล วรเสาหฤท กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยรีประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) หรือ THREL เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้าเบี้ยประกันภัยต่อรับปี 2567 ทะลุ 3,500 ล้านบาท เติบโตต่อเนื่อง 4-5% จากปี 2566 ที่ทำได้ 3,455 ล้านบาท ภายใต้การเร่งเดินหน้ากลยุทธ์ “ซ่อม-สร้าง” โดยกลยุทธ์ “ซ่อม” บริษัทจะเน้นซ่อมเสริมพอร์ตให้แข็งแรงขึ้น ด้วยการดูแลรักษาคุณภาพการรับงานใหม่ๆ เพื่อคงไว้ซึ่งประสิทธิภาพสูงสุดอย่างต่อเนื่อง โดยฉพาะงานด้านประกันสุขภาพกลุ่มที่ส่วนใหญ่ได้รับผลโดยตรงจากการปรับขึ้นราคาค่ารักษาพยาบาล (Medical Cost Inflation) ซึ่งในช่วงการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ได้ขยับขึ้นสูงกว่า 10% เทียบจากช่วงสถานการณ์ปกติที่เฉลี่ยปรับขึ้นราว 4-6% ต่อปี 

อย่างไรก็ตาม ล่าสุดบริษัทได้ดำเนินการทบทวนราคาค่าเบี้ยประกันสุขภาพสำหรับการต่ออายุสัญญาให้เหมาะสม และสอดคล้องกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นดังกล่าวแล้วราว 50% ของพอร์ตรวม ขณะที่กลยุทธ์ “สร้าง” บริษัทฯจะมองหาโอกาสในการขยายธุรกิจที่มีศักยภาพต่อยอดการเติบโต โดยเฉพาะประกันสุขภาพรายบุคคลที่มีแนวโน้มเติบโตโดดเด่นตามภาพรวมอุตสาหกรรมประกันชีวิต ภายใต้การบริหารจัดการความเสี่ยงอย่างรัดกุม ซึ่งยอมรับว่า ภาพรวมอุตสาหกรรมประกันชีวิตปี 2567 ยังจำเป็นต้องจับตาหลายปัจจัยอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะค่าสินไหมทดแทน (เคลม) ประกันสุขภาพที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จากเงินเฟ้อค่ารักษาพยาบาลที่ไม่สามารถควบคุมได้  

นายวิพล กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับภาพรวมผลการดำเนินงานโค้งแรกของงวดไตรมาส 1/2567 เบี้ยประกันภัยต่อรับรวมเติบโต 18% เทียบจากช่วงเดียวกันปีก่อนอยู่ที่ 788 ล้านบาท โดยเบี้ยประกันภัยต่อที่ถือเป็นรายได้สุทธิเติบโต 23% แตะ 879 ล้านบาท ตามการเติบโตของงานประกันสุขภาพทั้งรายบุคคลและรายกลุ่ม ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการรับประกันภัยรวมเพิ่มขึ้นแตะ 973 ล้านบาท ส่งผลทำให้ combined ratio เพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 115.2% สาเหตุสำคัญมาจากค่าสินไหมทดแทนรวมเพิ่มขึ้นราว 188 ล้านบาท จากการเพิ่มขึ้นของค่าสินไหมทดแทนของผลิตภัณฑ์ประกันสุขภาพ ตามภาวะของอุตสาหกรรมที่มีการปรับขึ้นของ Medical Cost Inflation สูงเกินกว่าอัตราค่าเบี้ยประกันที่ได้ปรับเพิ่มขึ้น 

ขณะที่ค่าบำเหน็จสุทธิ เพิ่มขึ้น 38 ล้านบาท ตามการเติบโตของรายได้เบี้ยประกัน ส่งผลให้บริษัทมีผลขาดทุนสุทธิ 87 ล้านบาท แต่อย่างไรก็ตาม บริษัทได้ดำเนินการทบทวนและปรับราคาค่าเบี้ยประกันสุขภาพแล้วบางสัญญาสำหรับการต่ออายุสัญญาใหม่ และกำลังปรับปรุงสัญญาที่ส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงาน เพื่อให้อัตราค่าสินไหมทดแทนต่อเบี้ย (Loss ratio) และอัตราค่าใช้จ่ายรวม (Combined ratio) กลับเข้าสู่เกณฑ์เป้าหมายในอนาคต 

“แม้ภาพรวมอุตสาหกรรมฯปีนี้ยังมีหลายปัจจัยที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะค่าเคลมสินไหม และเงินเฟ้อค่ารักษาพยาบาล ที่ส่อเค้าน่ากังวล แต่จากกลยุทธ์ ซ่อม-สร้าง ที่เราเร่งดำเนินการอยู่ เชื่อมั่นว่า ภาพรวมผลการดำเนินการของบริษัทฯในช่วงไตรมาส 2/67 ต่อเนื่องครึ่งหลังของปี จะมีแนวโน้มที่ดีขึ้นต่อเนื่อง” นายวิพล กล่าว 

นายวิพล วรเสาหฤท กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยรีประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) หรือ THREL เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้าเบี้ยประกันภัยต่อรับปี 2567 ทะลุ 3,500 ล้านบาท เติบโตต่อเนื่อง 4-5% จากปี 2566 ที่ทำได้ 3,455 ล้านบาท ภายใต้การเร่งเดินหน้ากลยุทธ์ “ซ่อม-สร้าง” โดยกลยุทธ์ “ซ่อม” บริษัทจะเน้นซ่อมเสริมพอร์ตให้แข็งแรงขึ้น ด้วยการดูแลรักษาคุณภาพการรับงานใหม่ๆ เพื่อคงไว้ซึ่งประสิทธิภาพสูงสุดอย่างต่อเนื่อง โดยฉพาะงานด้านประกันสุขภาพกลุ่มที่ส่วนใหญ่ได้รับผลโดยตรงจากการปรับขึ้นราคาค่ารักษาพยาบาล (Medical Cost Inflation) ซึ่งในช่วงการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ได้ขยับขึ้นสูงกว่า 10% เทียบจากช่วงสถานการณ์ปกติที่เฉลี่ยปรับขึ้นราว 4-6% ต่อปี 

อย่างไรก็ตาม ล่าสุดบริษัทได้ดำเนินการทบทวนราคาค่าเบี้ยประกันสุขภาพสำหรับการต่ออายุสัญญาให้เหมาะสม และสอดคล้องกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นดังกล่าวแล้วราว 50% ของพอร์ตรวม ขณะที่กลยุทธ์ “สร้าง” บริษัทฯจะมองหาโอกาสในการขยายธุรกิจที่มีศักยภาพต่อยอดการเติบโต โดยเฉพาะประกันสุขภาพรายบุคคลที่มีแนวโน้มเติบโตโดดเด่นตามภาพรวมอุตสาหกรรมประกันชีวิต ภายใต้การบริหารจัดการความเสี่ยงอย่างรัดกุม ซึ่งยอมรับว่า ภาพรวมอุตสาหกรรมประกันชีวิตปี 2567 ยังจำเป็นต้องจับตาหลายปัจจัยอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะค่าสินไหมทดแทน (เคลม) ประกันสุขภาพที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จากเงินเฟ้อค่ารักษาพยาบาลที่ไม่สามารถควบคุมได้  

นายวิพล กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับภาพรวมผลการดำเนินงานโค้งแรกของงวดไตรมาส 1/2567 เบี้ยประกันภัยต่อรับรวมเติบโต 18% เทียบจากช่วงเดียวกันปีก่อนอยู่ที่ 788 ล้านบาท โดยเบี้ยประกันภัยต่อที่ถือเป็นรายได้สุทธิเติบโต 23% แตะ 879 ล้านบาท ตามการเติบโตของงานประกันสุขภาพทั้งรายบุคคลและรายกลุ่ม ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการรับประกันภัยรวมเพิ่มขึ้นแตะ 973 ล้านบาท ส่งผลทำให้ combined ratio เพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 115.2% สาเหตุสำคัญมาจากค่าสินไหมทดแทนรวมเพิ่มขึ้นราว 188 ล้านบาท จากการเพิ่มขึ้นของค่าสินไหมทดแทนของผลิตภัณฑ์ประกันสุขภาพ ตามภาวะของอุตสาหกรรมที่มีการปรับขึ้นของ Medical Cost Inflation สูงเกินกว่าอัตราค่าเบี้ยประกันที่ได้ปรับเพิ่มขึ้น 

ขณะที่ค่าบำเหน็จสุทธิ เพิ่มขึ้น 38 ล้านบาท ตามการเติบโตของรายได้เบี้ยประกัน ส่งผลให้บริษัทมีผลขาดทุนสุทธิ 87 ล้านบาท แต่อย่างไรก็ตาม บริษัทได้ดำเนินการทบทวนและปรับราคาค่าเบี้ยประกันสุขภาพแล้วบางสัญญาสำหรับการต่ออายุสัญญาใหม่ และกำลังปรับปรุงสัญญาที่ส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงาน เพื่อให้อัตราค่าสินไหมทดแทนต่อเบี้ย (Loss ratio) และอัตราค่าใช้จ่ายรวม (Combined ratio) กลับเข้าสู่เกณฑ์เป้าหมายในอนาคต 

“แม้ภาพรวมอุตสาหกรรมฯปีนี้ยังมีหลายปัจจัยที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะค่าเคลมสินไหม และเงินเฟ้อค่ารักษาพยาบาล ที่ส่อเค้าน่ากังวล แต่จากกลยุทธ์ ซ่อม-สร้าง ที่เราเร่งดำเนินการอยู่ เชื่อมั่นว่า ภาพรวมผลการดำเนินการของบริษัทฯในช่วงไตรมาส 2/67 ต่อเนื่องครึ่งหลังของปี จะมีแนวโน้มที่ดีขึ้นต่อเนื่อง” นายวิพล กล่าว 

LATEST NEWS

“Smarthome” สมาร์ทโฮมยืนหนึ่งเครื่องใช้ไฟฟ้าสำหรับทุกครอบครัว

เมื่อพูดถึงแแบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน เชื่อว่าใครหลายๆ คน คงจะนึกถึงแบรนด์ “Smarthome” เป็น 1 ในคำตอบในใจอย่างแน่นอน ด้วยจุดเด่นของสินค้าที่แข็งแรง ทนทาน ดีไซน์ทันสมัยและราคาที่สามารถเข้าถึงได้ วันนี้เราจะมาทำความรู้จักกับแบรนด์ “Smarthome” กันให้มากยิ่งขึ้น

บิ๊กดีลสะเทือนวงการ! กรุงศรีฟินโนเวตจับมืออีฟราสตรัคเจอร์ เปิดฉากลงทุนมหาศาลปั้นกองทุนใหม่หนุนสตาร์ทอัพรายเล็กก้าวกระโดด พร้อมเปิด Accelerator ติดอาวุธเร่งสปีดสร้างการเติบโต

กรุงศรี ฟินโนเวต ร่วมกับ อีฟราสตรัคเจอร์ (Efra Structure) ของ ป้อม ภาวุธ ผู้บุกเบิกและคร่ำหวอดในวงการอีคอมเมิร์ซไทย เตรียมปั้นกองทุนยักษ์ “ฟินโน อีฟรา ไพรเวท อิควิตตี้ ทรัสต์” (Finno Efra Private Equity Trust) มุ่งลงทุนในสตาร์ทอัพไทยและอาเซียน งบประมาณมหาศาลกว่า 1,300 ล้านบาท (หรือกว่า 35 ล้านเหรียญสหรัฐ) ภายในระยะเวลา 4 ปี เผยเริ่มพูดคุยกับสตาร์ทอัพที่น่าสนใจแล้วราว 5-6 บริษัท พ่วงด้วยการเปิด Accelerator Program อย่างเป็นทางการ เพื่อปั้นสตาร์ทอัพระดับ Seed ถึง Pre-series A ให้เติบโตสู่ระดับ Series A ได้อย่างแข็งแกร่ง

SCB CIO มองตลาดหุ้นทั่วโลกผันผวน เมื่อเข้าสู่โค้งสุดท้ายเลือกตั้งสหรัฐฯ พอร์ตหลักแนะหุ้นกลุ่มเทคฯ-สุขภาพ- สาธารณูปโภค-ทองคำ ส่วนพอร์ตเสริมสะสมเวียดนาม

SCB CIO มองตลาดหุ้นโลกจะมีความผันผวนเพิ่มขึ้นเมื่อเข้าสู่โค้งสุดท้ายของการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ จากสถิติชี้ว่า ดัชนี VIX  จะเร่งตัวขึ้นเมื่อเข้าสู่ช่วง 4 เดือนสุดท้ายก่อนการเลือกตั้ง ขณะที่สถิติในอดีตบ่งชี้ดัชนี S&P500 มีแนวโน้มชะลอตัวในช่วงเดือนส.ค.- ก.ย. แนะกลยุทธ์ลงทุนในตลาดหุ้นเลือกหุ้นคุณภาพดีเติบโตสูงงบแข็งแกร่งยอดขายกำไรเติบโตยั่งยืนเช่นกลุ่มเทคโนโลยีพร้อมผสมผสานกับหุ้นกลุ่มที่มีความทนทานต่อภาวะตลาดผันผวนเช่นกลุ่มสาธารณูปโภค  สุขภาพและสินค้าจำเป็น พร้อมระวังลงทุนในหุ้นกลุ่มขนาดเล็กจากกำไรของกิจการของหุ้นขนาดเล็กค่อนข้างผันผวนและอิงกับเศรษฐกิจสหรัฐฯเป็นหลักซึ่งอาจได้รับผลกระทบจากการที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังเข้าสู่ช่วงของการชะลอตัวลง สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ปานกลาง-สูง แนะลงทุนหุ้นเวียดนามจากดัชนีฯที่ได้แรงหนุนจากเศรษฐกิจที่เติบโตต่อเนื่อง

RELATED